หนึ่งชีวิตของคนเรานี้...มีลมหายใจ..เพื่ออีกหลายชีวิต เพศชายกับหญิงแม้ถูกให้ต่างกันเพียงฐานะทางสังคมหรือค่านิยม แต่คุณค่าและคุณธรรมนั้นมิอาจกำหนดได้ด้วยเส้นกั้นเขตแบ่งเพศภาวะ พระนางมัลลิกา..สตรีคู่บุญของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระนางเป็นยอดหญิงผู้มีปัญญามาก ดังเห็นได้จากที่ทรงดำริ “อสทิสทาน” มหาทานประวัติศาสตร์ของพระศาสนา และทรงได้เป็นแสงสว่างให้กับพระสวามีมาโดยตลอด อีกทั้งยังเคยเป็นที่พึ่งแก่มหาชนในยามชะตากรรมคับขัน
เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงช้างเผือกเสด็จประพาสเมืองพร้อมขบวนข้าราชบริพาร ทรงทอดพระเนตรเห็นหญิงงามนางหนึ่งกำลังเปิดหน้าต่างออกมาสักครู่และหลบกลับเข้าไปในปราสาทเสมือนดวงจันทร์ลี้หายเข้าไปในหมู่เมฆ ทรงเกิดจิตปฏิพัทธ์อยากได้นางมาครอบครอง ทรงรับสั่งให้คนไปสืบดูจึงรู้ว่านางมีสามีแล้ว จึงหาอุบายจะกำจัดสามี จากนั้นรับสั่งให้คนเรียกสามีนางมาเป็นผู้รับใช้ประจำพระองค์ เพื่อหาโทษสักอย่างสังหารเขาและริบเอาหญิงนั้นมาไว้กับพระองค์ แต่ชายคนนั้นไม่ประมาทในการรับใช้พระราชา ทำให้พระองค์จึงไม่อาจหาช่องจับผิดเขาได้ ต่อมาทรงใช้อุบายใหม่โดยรับสั่งให้เขาไปทำภารกิจอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีเป็นไปได้ “เจ้าจงเดินทางไป ๕ โยชน์ จะมีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีดอกโกมุท ดอกอุบลและดินชนิดพิเศษซึ่งมีสีเหมือนอรุณ ให้เจ้านำมาให้ทันก่อนที่เราจะอาบน้ำตอนเย็น หากไม่ทันจะถูกลงโทษ”
เขาก็คิดเพียงว่าสิ่งของที่รับสั่งนั้นมีอยู่แต่ในพิภพพญานาค แต่ไม่รู้ว่าจะได้มาด้วยวิธีการใด จึงกลับไปบ้านสั่งให้ภรรยาทำอาหารเดินทางและรีบออกจากบ้าน ขณะเดินทางเขาได้แบ่งอาหารตนให้กับคนเดินทางคนหนี่ง และเขายังได้ไปโปรยอาหารลงในแม่น้ำให้แก่ปลาพร้อมกับประกาศเสียงดังว่า “ขอนาคครุฑหรือเทวดาที่สิงอยู่บริเวณที่แห่งนี้จงรับทราบว่า พระราชาจะลงโทษอันไม่ชอบธรรมแก่ข้าพเจ้า โดยให้นำของ ๓ อย่าง คือ ดินสีอรุณ ดอกโกมุทและดอกอุบลไปให้ทันก่อนทรงสนาน วันนี้ข้าพเจ้าได้ให้ทานแก่คนเดินทางและปลาในน้ำ หากใครนำสิ่งของที่ข้าพเจ้าต้องการมาได้ ข้าพเจ้าก็จะให้ส่วนบุญนี้” ผลแห่งทานนี้ทำให้พญานาคที่อยู่บริเวณแม่น้ำนั้นก็ออกมาแปลงกายเป็นชายแก่มาขอส่วนบุญและนำสิ่งของ ๓ อย่างมาให้ชายผู้นี้เป็นการตอบแทนให้ภารกิจสำเร็จลุล่วง
ฝ่ายพระราชาก็เกรงว่าชายคนนี้อาจจะหาของมาได้สำเร็จด้วยมนต์ลึกลับ จึงรับสั่งให้ปิดประตูเมืองก่อนกำหนด แม้ชายคนนี้มาถึงแต่ไม่อาจเข้าไปได้ จึงโกรธแค้นมาก จากนั้นเขาก็เดินทางไปยังวัดพระเชตวันเพื่ออาศัยค้างแรมก่อน ส่วนพระราชาไม่อาจบรรทมหลับได้ ทรงกระวนกระวายถึงหญิงงามตลอด และทรงคิดจะกำจัดชายคนนั้นในตอนเช้าเพื่อจะริบเอาภรรยาของเขามาให้เร็วที่สุด ขณะกำลังบรรทมอยู่ทรงได้ยินเสียงคน ๔ คนร้องโหยหวนโดยพูดเพียงคนละ ๑ คำว่า “ทุ สะ นะ โส” ทรงสะดุ้งไม่อาจหลับลงได้จนสว่าง รุ่งเช้าทรงเรียกปุโรหิตมาสอบถามเหตุการณ์ว่าจะมีผลกระทบถึงชีวิตพระองค์หรือราชสมบัติหรือไม่ พราหมณ์ปุโรหิตรู้สึกเหมือนมืดแปดด้าน แต่ก็แกล้งทำเป็นทราบจึงทูลว่า “อันตรายใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นแก่พระองค์ แต่มีทางแก้ด้วยการฆ่าสัตว์บูชายัญ” เมื่อปุโรหิตทูลบอกอุบายในการบูชายัญแล้ว จึงได้รับพระดำรัสสั่งให้จับมัดคนและสัตว์มาชนิดละ ๑๐๐ อย่าง ได้แก่ ช้าง ,ม้า,โค,แม่โคนม,แพะ,แกะ,ไก่,หมู,เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง รวมแล้วกว่าพันชีวิต คนและสัตว์เหล่านั้นต่างก็ทรมานพากันร้องขอชีวิต ทว่าพระราชาคิดเห็นแก่ตัวเพียงอย่างเดียวว่า “การมีชีวิตของเรานั่นแหล่ะเป็นลาภของเรา”
เสียงร้องของมหาชนและเหล่าสัตว์ดังลั่นราวกับแผ่นดินสะเทือน พระนางมัลลิกาเทวีมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงได้สดับจึงเข้าเฝ้าทูลถามว่า “ทำไมพระองค์ดูอิดโรยและหมองคล้ำไป” “ดูก่อนมัลลิกา เจ้าไม่รู้หรือว่าตอนนี้อสรพิษใกล้จะฉกเราอยู่แล้ว เพราะเมื่อคืนเราได้ยินเสียงร้องน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน” แล้วทรงเล่าเหตุทั้งหมดซึ่งเป็นที่มาของการนำสัตว์มาฆ่าบูชายัญ พอพระนางฟังจบจึงทูลว่า “แม้พระองค์จะสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง ทั้งยังปกครองแคว้นถึง ๒ แคว้น แต่ปัญญาของพระองค์ยังเขลาอยู่นัก” “ทำไมเจ้าจึงกล่าวว่าเราอย่างนี้เล่า” พระนางได้ทูลเตือนสติว่า “ก็การได้ชีวิตมาจากความตายของคนอื่น พระองค์ทรงเคยเห็นที่ไหนบ้าง ทำไมทรงเชื่อคำของปุโรหิตผู้เขลาเบาปัญญา ก็เรามีพระบรมศาสดาบุคคลผู้เลิศอยู่ใกล้ๆนี้แล้ว พระองค์จงไปทูลถามสาเหตุของเสียงร้องเมื่อคืนนี้ และจงทรงทำตามข้อแนะนำของพระพุทธองค์เถิด”
ทั้งสองจึงพากันไปเข้าเฝ้าพระศาสดา พระเทวีได้กราบทูลเรื่องราวนั้น พระพุทธองค์เมื่อทรงสดับแล้วก็ทรงรู้แจ้งถึงสาเหตุทั้งปวง จึงตรัสปลอบโยนว่า “มหาบพิตรอย่าทรงหวาดหวั่นเลย ไม่มีอันตรายอะไรทั้งนั้น นั่นเป็นเสียงร้องของสัตว์นรกที่เคยทำกรรมชั่วไว้” และตรัสเล่าความเป็นมานั้น
ความจริงเสียงที่พระราชาสดับนั้นเป็นเสียงของสัตว์นรก ๔ ตน ผู้บังเกิดในนรกขุมโลหกุมภี ถูกต้มในหม้อยักษ์ลึก ๖๐ โยชน์ กำลังลอยไปมาในน้ำร้อนที่เดือดพล่านจากปากถึงก้นหม้อ ใช้เวลาถึง ๓ หมื่นปีนรกจึงจะจมถึงก้นหม้อ และลอยถึงปากหม้ออีก ๓ หมื่นปีนรก ดังนั้นเมื่อลอยขึ้นมาพร้อมกันก็อยากจะพูดถึงความทุกข์แสนสาหัส แต่พูดได้เพียงคนละ ๑ คำก็กลับจมลงไปเหมือนเดิม เพราะในอดีตกาลสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า มนุษย์มีอายุยืนถึง ๒ หมื่นปี ทั้ง ๔ นี้เคยเกิดเป็นลูกเศรษฐีในเมืองพาราณสี มีสมบัติ ๔๐ โกฏิ ตลอดชีวิตพวกเขาได้ผลาญทรัพย์ด้วยให้ผู้หญิงมาปรนเปรอ รวมทั้งเป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น เมื่อตายลงจึงไปบังเกิดในอเวจีมหานรก ๑ พุทธันดร ยังเหลือเศษกรรมที่ต้องมาชดใช้ในโลหกุมภีนรกอีก เสียงสัตว์นรกนี้เป็นเหมือนกรรมบันดาลเตือนพระราชาล่วงหน้า
เหตุการณ์นี้ทำให้พระราชาเกิดสลดพระทัยว่า “กรรมเจ้าชู้นี้หนักจริงๆ เราจะไม่ยินดีในภรรยาคนอื่นอีกแล้ว” จากนั้นทรงเลิกทำพิธีบูชายัญ ทรงปล่อยมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจากเครื่องจองจำไปหมดสิ้น และให้ชายผู้รับใช้พระราชานั้นใช้ชีวิตกับภรรยาของเขาตามเดิม เรื่องนี้ทำให้ชาวเมืองต่างโจทก์ขานสรรเสริญสดุดีถึงพระคุณของพระนางมัลลิกาที่ช่วยชีวิตจำนวนมากให้รอดพ้นจากทุกข์ ทั้งยังหยุดบาปกรรมของพระสวามี และทรงเป็นกัลยาณมิตรประคับประคองให้พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เป็นกำลังสำคัญทำนุบำรุงพระศาสนาและอยู่ในเส้นทางแห่งความดีได้ตลอดรอดฝั่ง
คนแม้หนึ่งคน...ย่อมส่งผลต่อมหาชนนับไม่ถ้วน แม้เพียงหนึ่งคน..สามารถบันดาลดลอนาคตนำพระศาสนาให้รุ่งเรืองหรือเรียวลงก็ได้ การเปลี่ยนชีวิตคนให้มีศรัทธาและสัมมาทิฏฐินับเป็นบุญมหาศาล หากชายใดได้บวชและได้ซาบซึ้งภารกิจตนในกองทัพธรรมแล้ว พระศาสนาก็จะมีกำลังและได้วีรบุรุษผู้กล้ามาช่วยงานเพิ่มขึ้นโดยไม่มีวันที่จะหมดศาสนทายาทไปจากผืนแผ่นดินถิ่นชาวพุทธ
อุบาสิกาแก้วแม้เพียงหนึ่งคน..ย่อมมีชวนคนบวชได้มากมาย เพราะนี่คือความจริง หากขาดใครคนใดคนหนี่งในอุบาสิกาแก้วผู้กล้าห้าแสนอัศจรรย์แล้ว ผังสำเร็จในการบวชพระแสนรูปในพรรษายากจะเกิดขึ้น ดังนั้นทหารหญิงทั้งห้าแสนใจต้องร่วมผนึกกำลังขยายเครือข่ายตามชายผู้มีบุญมาบวช หนึ่งชวนสอง สองชวนสี่ ชวนต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ดุจปรมาณูแห่งความดี..ที่แตกตัวขยายเท่าทับทวีจนเกิดปฏิกิริยาขับพลังความดีงามอันมหาศาลให้โครงงานใหญ่ของพระศาสนาสำเร็จประจักษ์เป็นขวัญตาแก่มวลมหาชน