เรื่องราวสั้นๆของพระธนพล กตพโล อายุ 35 ปี ผู้บวชในโครงการอุปสมบทหมู่ 100,000 รูป ทุกหมู่บ้านทั่วไทย ภาคฤดูร้อน ปี พ.ศ.2555 จากชีวิตที่มืดมน สู่ชีวิตที่สว่างไสว เป็นเนื้อนาบุญของชาวโลก ปัจจุบันพระธนพลเป็นพระพี่เลี้ยงอยู่ที่ศูนย์อบรมวัดป่าวิบูลย์ธรรมธาดา อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี
พระธนพลเล่าถึงชีวิตที่ผ่านมาของท่านว่า มีแต่ความมืดมิด แบบที่เรียกว่า หาแสงสว่างไม่พบเลย นับตั้งแต่อายุ 19 ปี ความตายก็มาพรากแม่ของท่านให้ต้องจากไป ต่อมาไม่นานพ่อของท่านก็แต่งงานใหม่ ตอนนั้น ท่านรับไม่ได้ที่พ่อแต่งงาน เพราะไม่อยากให้พ่อไปรักคนอื่น จึงประชดชีวิต ด้วยการทำความชั่วสารพัด ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทุกรูปแบบ อะไรที่พ่อห้ามก็จะทำ ส่วนอะไรที่พ่อให้ทำ กลับไม่สนใจ แม้ในความเป็นจริง แม่เลี้ยงก็แสนดี แต่พระธนพลมีอคติ ปิดตา ปิดใจ ไม่ยอมรับสิ่งดีๆที่เข้ามาในชีวิต จนพ่อต้องเสียน้ำตาให้ท่านหลายครั้งพระธนพล กตพโล หลายหน ด้วยพฤติกรรมที่ประชดประชันดังกล่าว
ทางด้านชีวิตครอบครัว หลังจากแต่งงานแล้ว เนื่องจากความเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร ตนเองต้องเป็นฝ่ายถูกเสมอ คนอื่นผิดหมด จนเป็นเหตุให้ชีวิตครอบครัวล่มสลาย ต้องแยกทางกันไป พระธนพลเล่าว่า “พอภรรยาจากไป จิตใจก็ยิ่งร้าวราน ดำเนินชีวิตออกนอกลู่นอกทาง ความชั่วทุกประเภทที่ทำแล้วส่งผลให้ชีวิตตกต่ำ เป็นต้องทำให้รู้กันไปเลย อะไรที่ว่าต่ำ อะไรที่ว่าบาป มันจะต่ำที่สุด มันจะมืดดำที่สุดตรงไหน ก็จะทำให้เลวร้ายให้สุดๆไปเลย”
จนมาถึงปีนี้ พระธนพลอายุ 35 ปี สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตก็เกิดขึ้นกับท่าน โดยก่อนหน้านั้น อยู่ๆท่านก็รู้สึกรับสภาพตัวเองไม่ได้ จึงขังตัวเองอยู่ในบ้านคนเดียว ไม่ยุ่งกับใคร ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน เอาแต่นอนกอดขวดยาฆ่าหญ้าร้องห่มร้องไห้ จนเกือบจะกินยาฆ่าหญ้าเพื่อฆ่าตัวตาย แต่ใจยังไม่กล้าพอ ตอนนั้นจมอยู่กับความทุกข์เป็นอาทิตย์ แต่สุดท้ายก็ยอมออกมาพบกับแสงตะวัน วันหนึ่งขณะที่กำลังนั่งหมดอาลัยตายอยาก ก็มีผู้หญิงเดินเข้ามาหาและบอกว่า “สวัสดีค่ะ อยากบวชไหมคะ” พระธนพลตอบสั้นๆว่า “บวช” คนที่มาชวนบวชก็ตกใจ ทำหน้างง แล้วก็ทำหน้าดีใจ อุทานว่า “ทำไมง่ายจัง ตั้งแต่ชวนบวชมา น้องชวนง่ายที่สุดเลย” พระธนพลกล่าวถึงความรู้สึกในตอนนั้นว่า “อาตมาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำให้ถึงตัดสินใจบวช รู้แต่เพียงว่า ไม่อยากเห็นตัวเองในสภาพแบบนี้”
หลังจากที่พระธนพลตัดสินใจเข้ามาบวช ได้ฟังคำสอนจากพระอาจารย์ ได้ฝึกฝนอบรมตนเองตามหลักสูตรของโครงการ ทำให้ท่านคิดได้ว่า ได้เลือกทางเดินที่ถูกต้อง แม้จะเป็นการเลือกแบบปัจจุบันทันด่วนก็ตาม แต่ท่านก็ได้รับสิ่งดีๆจากการบวชครั้งนี้ แบบพลิกชีวิต ด้วยบุญบวชจริงๆ พระธนพลกล่าวว่า “อาตมามั่นใจว่าเรามาถูกทางแล้ว บอกตามตรงว่าตอนนั้นกิเลสในใจมันหนามาก ทั้งความคิด คำพูด และการกระทำ ทุกอย่างหยาบกระด้างจนไม่รู้จะเปรียบได้กับอะไร แต่เมื่อมาบวชก็เกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากในช่วงการอบรม ไม่ว่าพระอาจารย์ พระพี่เลี้ยงให้อาตมาทำอะไร อาตมาก็จะทำตามทุกอย่าง ฝึกทุกอย่าง และวันที่ปลื้มมากที่สุด คือ วันที่พ่อมอบผ้าไตรให้ เป็นวันที่ปลื้มไม่รู้ลืม เพราะเป็นครั้งแรกที่พ่อร้องไห้ด้วยความดีใจ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่อาตมาทำให้พ่อมีความสุข อีกทั้งตั้งแต่แม่เสียไป อาตมาแทบจะไม่เคยทำบุญอุทิศไปให้ท่านเลย มันเหมือนลืมไปแล้วว่าเคยมีแม่ แต่พอได้ห่มผ้าเหลือง คืนแรกก็ฝันเห็นโยมแม่ ท่านมาพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่ได้ยิน เห็นแต่ท่านยิ้มชื่นใจมาก ตั้งแต่วันนั้นมา ทุกครั้งที่ได้รับบุญต่างๆในโครงการ ก็จะอุทิศบุญไปให้โยมแม่”
การบวชครั้งนี้ ทำให้อาตมาบอกกับตัวเองได้ว่า อาตมารักโยมพ่อมากขึ้น ที่ผ่านมาใช้แบบชีวิตผิดๆ แต่ตอนนี้บวชแล้วเหมือนได้ชีวิตใหม่ชีวิตที่ดีที่สุด และอาตามตั้งใจจะทำให้โยมพ่อได้ปลื้มทุกๆวินาทีของการสร้างบุญเพื่อเป็นการชดเชย ทุกวันนี้เวลาคุยกับโยมพ่อ จะเอาบุญไปฝากท่านตลอด แล้วก็ชวนให้ท่านเข้าวัดทำบุญด้วย โยมพ่อก็จะขอให้บวชอาตมาไปนานๆไม่ต้องสึก อาตมาก็จะบอกกับท่านว่า ไม่คิดจะจากผ้าเหลืองไปไหนอีกแล้ว
จากเรื่องราวของพระธนพล คงทำให้เราพอจะทราบถึงประโยชน์และบุญชวนคนบวชว่า “ยิ่งใหญ่มหาศาลจริงๆ” เพราะถ้าไม่มีคนมาชวนบวช พระธนพลก็คงไม่มีวันขึ้นมาจากหลุมแห่งความทุกข์ที่มืดดำได้ ไม่มีวันแห่งความปลื้มปีติ และคงไม่มีหัวใจในการทำหน้าที่กอบกู้พระพุทธศาสนาเช่นนี้ แม้พระธนพลจะไม่ทราบว่าผู้ที่มาชวนบวช ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน แต่การบวชของพระธนพลในครั้งนี้ ทำให้ท่านได้ชีวิตใหม่กลับมา ได้บุญกับการบวช อีกทั้งผู้ที่มาชวนบวชก็ถือว่าเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่และได้บุญกับท่านด้วย