คุณค่าที่มีอยู่ในตัวเอง "นพ.อภินัย ชินพิพัฒน์" |
ผมมองดูใบไม้ที่เปลี่ยนสี.... มองเห็นฤดูกาลที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป กาลเวลาเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้...แม้แต่สิ่งที่มองไม่เห็น แต่ก็สามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่าสิ่ง ๆ นี้จะเคยเกิดขึ้นกับใครบ้าง แต่มันได้เกิดขึ้นกับผมแล้ว
ผมเป็นลูกของนักธุรกิจที่มีคุณพ่อเป็นเจ้าของกิจการ คุณแม่ผมทำงานให้กับมูลนิธิแห่งหนึ่ง ผมจบการศึกษาในชั้นประถมที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน จบมัธยมที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จบแพทย์ศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนนี้ผมเป็นหมอที่โรงพยาบาลธัญญารักษ์ ครอบครัวของผมอบอุ่นและสมบูรณ์ทุกอย่าง
ชีวิตในวัยเด็กจนถึงวัยรุ่น ผมใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อน ๆ ดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวเล่นไปตามวัย ผมได้รับเลือกให้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัย และการเต้นรำก็เป็นสิ่งที่ผมชอบและถนัด บางวันถ้าไม่ได้ไปไหนผมก็จะเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ซึ่งมันก็เป็นเสมือนอาหารจานโปรดของผมอีกเหมือนกัน วันเวลาชีวิตของผมหมดไปกับสิ่งเหล่านี้ ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมดูมันเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง ผมมีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตให้หมดไปวัน ๆ กับสิ่งเหล่านี้
วันหนึ่ง คุณแม่ของผมชวนให้ผมมาบวชธรรมทายาทที่ วัดพระธรรมกาย ผมรู้ว่าการบวชเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องไม่ใช่วัดนี้อย่างแน่นอน เพราะข่าวที่กระพือให้ได้อ่านเกือบทุกวัน ทำให้ผมไม่ศรัทธาวัดนี้ ผมให้เหตุผลท่านว่า ผมจะบวชตามโครงการที่คณะแพทย์จัดไว้เป็นวิชาเลือก ผมจะไม่บวชที่วัดพระธรรมกายอย่างแน่นอน ถึงกระนั้นท่านก็ยังไม่หมดความพยายาม ท่านได้ให้เหตุผลกับผมว่า “สิ่งใดที่ยังไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง ก็อย่าเพิ่งไปตัดสินใจเชื่อ” ด้วยเหตุผลนี้ ผมจึงได้มาวัด และตัดสินใจบวชเพราะคิดว่า การบวชครั้งนี้ทำให้คุณแม่สบายใจ และจะได้รู้ว่าสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังจากสื่อต่าง ๆ นั้นมันใช่หรือไม่
ความสุขอยู่ในตัวเอง
ผมอบรมธรรมทายาท รุ่นที่ 28 ปี พ.ศ. 2543 ตลอดระยะเวลาของการอบรม มันทำให้ผมเริ่มเข้าใจความหมายของคำว่า “พระพุทธศาสนา” มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการฝึกฝนอบรมตนเอง ทั้งในด้านปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ใจผมมีความสุขมาก มันเป็นความสุขที่เต็มอิ่มที่ใช้ชีวิตของผมไม่เคยสัมผัสมาก่อน ผมได้เรียนรู้ว่า แท้จริงแล้วความสุขมันอยู่ในตัวของผมเอง มันไม่ได้อยู่ไกลอย่างที่ผมเคยไขว่คว้ามาก่อน วัดพระธรรมกายได้สอนให้ผมรู้จักความหมายของการให้ทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิภาวนาอย่างสมบูรณ์แบบ ผมนำหลักคำสอนที่มีในพระพุทธศาสนา ซึ่งมีพระอาจารย์ และพระพี่เลี้ยงเป็นผู้นำมาถ่ายทอด มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มันทำให้ผมรู้คุณค่าของความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้นบทฝึกของการอบรมเป็นพระธรรมทายาท เป็นบทฝึกที่ทำให้ผมยกระดับจิตใจตัวเองให้สูงขึ้น ผมรับรู้ได้ด้วยใจของผมเองว่า มีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป แม้จะมองไม่เห็นก็ตาม แต่มันมีคุณค่าต่อจิตใจของผมมาก ผมจึงอยากจะบอกว่า
“ครั้งหนึ่งในชีวิตของผม ผมภูมิใจมากกับการได้บวช เป็นพระธรรมทายาท มันเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมได้พบ และเห็นคุณค่าที่มีอยู่ในตัวของผมเอง”
คุณค่าที่ได้ทิ้งท้ายให้คิด
ผมอยากบอกทุกคนว่าลูกผู้ชายครั้งหนี่งในชีวิตก็ต้องบวชทดแทนคุณของคุณพ่อคุณแม่ เวลาที่เราอยู่ในช่วงการศึกษานี่แหละเป็นช่วงที่ปลอดกังวลมากที่สุดแล้ว หากรอให้เรียนจบหรือทำงานเสียก่อนยิ่งยากกว่านี้มาก
ระยะเวลาสองเดือนเหมือนจะมาก แต่ถ้าเทียบกับตลอดเวลาทั้งชีวิตที่เราหมดไปกับการเล่นสนุก เที่ยวตามที่ต่าง ๆ ดูหนัง ฟังเพลงแล้ว ผมคิดว่ามันน้อยกว่ามาก และสิ่งที่คุณได้มาจะเป็นประโยชน์ต่อตัวคุณทั้งชีวิต คือ คุณจะได้หลักการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น เพราะการศึกษาธรรมะจากการบวชในครั้งนี้ คุณก็จะมีเพื่อนที่ดีอีกกลุ่มหนึ่งที่จะชวนคุณมาเข้าวัดฟังธรรมในบางเวลา ที่คุณเผลอสติไป หากใครกลับไปแล้วตั้งใจว่า อย่างน้อยจะรักษาศีล 5 ให้ได้ทุกวัน ก็เป็นหลักประกันอย่างหนึ่งว่า คุณคงจะไม่ต้องไปรับทุกข์จากการกระทำผิดศึลอีก นั่นคือ เราจะองอาจกล้าหาญในทุกสถานการณ์ เราจะกล้าพูดได้เต็มปากว่า เราเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีคนหนึ่ง
หากเราตั้งใจปฏิบัติธรรมต่อเนื่อง เราก็จะมีกำลังใจในการเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และการดำเนินชีวิตของเรายังสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนที่อยู่รอบข้างได้ เช่น ผมเองก็แนะนำคนไข้และเพื่อนร่วมงานให้เขานั่งสมาธิ เพื่อคลายความเครียดจากอาการเจ็บป่วยและจากหน้าที่การงาน
หากใครตั้งใจมาบวช หลังจากที่ได้อ่านบทความนี้ ก็ขออนุโมทนากับทุก ๆ ท่านด้วย แม้ใครที่ไม่เห็นด้วยหรือยังไม่สนใจที่จะบวชก็ขอขอบคุณเช่นกันที่อ่านมาจนจบ
ที่มา.... หนังสือ “จุดเปลี่ยน”