มโนธรรมยังไม่กร่อน
เรื่องโดย กมล วัฒนโชติ
ณ ริมคลองส่งน้ำที่ทุ่งสามของรังสิต มีมูลดินที่ทำขึ้นใหม่ ๆ เกือบร้อยแห่งเรียงรายกันเป็นระยะ ๆ ได้ช่องไฟพองามยาว ๑ วา สูงขึ้นจากพื้นไม่เกิน ๑ คืบ ชะรอยทุ่งนาแห่งนี้จะเป็นสุสานที่สร้างขึ้นใหม่กระมังจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ทำไมจึงศพฝังอยู่มากมายจนเกลื่อนกลาดดึกดื่นค่อนคืนป่านนี้แล้ว เงียบก็เงียบ หนาวก็หนาว ลมก็แรง แต่ยังมีคบเพลิงปักอยู่ เปลวไฟล้อเล่นกับสายลมเย็นวูบวาบ ดูสว่างวอม ๆ แวม ๆ น่าขนหัวลุก ใครหนอช่างขวัญดีบังอาจนักกล้าไปจุดคบเพลิงบูชาหน้าหลุมฝังศพเหล่านั้นยามค่ำคืน มิเกรงถูกภูตผีหลอกหลอนเหนือมูลดินเหล่านั้นมีเงาตะคุ่มสีขาวคล้ายคนนั่ง แม้ลมจะกรรโชกจนต้นไม้โดยรอบดอนลู่แทบหักกลางลำต้น แต่เงาตะคุ่มเหล่านั้นกลับไม่ไหวติง ยังแข็งทื่อเหมือนปราศจากชีวิตอยู่เช่นเดิม
ฤๅว่ามันเป็นผีตายซากที่ถูกมัดตราสังไว้ใต้ดิน แลบัดนี้ถูกปลุกขึ้นมาด้วยอาคมขลัง เพื่อจัดตั้งเป็นสมาคมแดร้คคิวล่า เที่ยวอาละวาดให้ฟ้าดินปั่นป่วนตรงกลางมูลดิน มีวัตถุสิ่งหนึ่งปักอยู่ ลักษณะคล้าย ๆ ร่มที่กางแล้ว แต่ว่ามันใหญ่กว่าร่มธรรมดาถึง ๕ เท่า ทุกครั้งที่ลมกรรโชกร่มยักษ์จะปะทะไว้เต็มแรงมิสะทกสะท้าน ทำให้เกิดเสียงพึ่บพั่บเขย่าขวัญจนกระเจิง ราวกับว่ามีค้างคาวแม่ลูกไก่สักครึ่งร้อยกระพือปีกพร้อม ๆ กัน โถมถลาเข้าหาเหยื่อของมันในยามหิวโหย ฤๅว่าแม้แต่ภูตผีปีศาจก็ยังต้องเตรียมร่มไว้กันฝนเฮอะ! ความคิดอกุศลเยี่ยงนี้อย่าได้มีต่อไปแหละเป็นการดี ร่างที่เห็นเป็นเงาตะคุ่มสีขาวเหล่านั้นคือ เหล่าธรรมทายาทต่างหาก
พวกเขากำลังนั่งเจริญภาวนาเป็นพุทธานุสสติ เพื่อทำสมาธิจะได้ซักฟอกกิเลสที่หมักหมมอยู่ในใจให้สิ้นไป มูลดินนั้นสร้างขึ้นเพื่อป้องกันน้ำท่วม คราฝนตกและใช้เป็นที่นอนไปในตัว เขาเหล่านั้นนั่งอยู่ใต้กลดหลังใหญ่ที่ใช้กันแดดได้ในเวลากลางวัน กันน้ำได้ในคราวฝนตก และกันยุงได้ในยามค่ำคืน ชุดธรรมทายาทที่สวมใส่ตัดเย็บขึ้นมาอย่างได้รูปทรงกะทัดรัดจากผ้าดิบเนื้อหยาบ จะได้เป็นมรณานุสสติ เตือนใจให้ระลึกถึงความตายมาก ๆ ว่าเมื่อตายแล้วผ้าดิบเหล่านี้แหละ ที่เขาใช้ตราสังผูกกระหวัดมือเท้าให้มั่นคงแน่นหนาก่อนส่งไปป่าช้าสู่เชิงตะกอนนอนในกองไฟ
ดังนั้น การอบรมธรรมทายาทครั้งนี้ อย่างน้อยก็เป็นการฝึกหัดเตรียมตัวตายก่อนที่จะตายจริง ๆ อย่างดีเลิศ และเมื่อถึงเวลานั้น เราจะได้ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องวิตกกังวลว่าเรายังไม่พร้อมที่จะตายมันเป็นคืนข้างแรมแก่ ๆ เดือนจึงมืดสนิท ฝนก็จะเพิ่งขาดสาย เมฆดำยังกางปีกบดบังดวงดาว และลมหนาวหลังฝนตกกำลังตั้งใจกระหน่ำ คบเพลิงก็ดับสนิทไปนานแล้ว เหลือแต่กบเขียดที่ถูกน้ำท่วมรู ต่างแข่งกันร้องตะเบ็งเซ็งแซ่เป็นเพื่อนข้าพเจ้าท่านกลางความมืดแห่งราตรีเนินดินภายใต้กลดซึ่งเคยเป็นที่หลับนอน
บัดนี้ แม้ไม่ถูกน้ำท่วม แต่ก็เปียกชุ่มด้วยละอองฝนเสื้อผ้าชุดธรรมทายาทที่สวมก็เปียกจนหมด ผ้าห่มผืนเล็กผืนเดียวที่ใช้หนุนศีรษะต่างหมอน พอบิดนิดเดียวน้ำก็ไหลโจ๊ก อย่านอนเลยน่ะ เพราะนี่ก็ตีหนึ่งแล้ว อีกไม่ช้าก็สว่าง คิดตัดสินใจได้อย่างนี้ ข้าพเจ้าก็นั่งทำสมาธิ ในไม่ช้าความหนาวเหน็บก็หายไปข้าพเจ้าเริ่มเห็นดวงนิมิตสว่างขึ้นเป็นลำดับ แต่ความชำนาญยังไม่พอเพียงประกอบกับความดีใจทำให้ดวงนิมิตบางครั้งก็เลือนไป บางครั้งก็ชัดเจน บางครั้งก็ออกไปอยู่นอกกาย บางครั้งก็อยู่กลางกาย ครั้นใกล้รุ่งมากเข้า แม้ว่าจิตใจจะเข้มแข็งปานใด ในที่สุดร่างกายก็เริ่มอ่อนล้า จิตใจก็อ่อนเพลีย เมื่อจิตอ่อนเพลียจิตก็ห่างจากสมาธิ เมื่อจิตห่างจากสมาธิภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เคยผ่านมาก็เริ่มผุดขึ้นมาเป็นฉากเป็นตอนไม่หยุดหย่อน ภาพตั้งแต่เล็กจนโตที่ต้องอาศัยกำลังจากปลีน่องของตัวเองตลุยอยู่ท่ามกลางคาวโลกีย์ตามลำพัง ต้องล้มลุกคลุกคลานระหกระเหินจนแทบท้อแท้หมดกำลังกายจะดิ้นรนทำความดีต่อไป บางครั้งก็สงสัยว่าในโลกนี้ยังมีคนดีและพระสัทธรรมหลงเหลืออยู่อีกหรือ
ข้าพเจ้าเป็นลูกชาวนายากจนในจังหวัดชุมพร เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมหกทางบ้านก็ไม่มีทุนจะให้เรียนต่อ ต้องไปเป็นกรรมการขนสุราอยู่ ณ บริษัทต้มกลั่นในจังหวัดนั้น ตรากตรำอยู่ท่ามกลางกลิ่นไอสุราปีกว่าก็สุดแสนจะทนทาน แม้มิได้รับประทานเพียงแต่ได้กลิ่นก็เมาแล้ว เพื่อนร่วมงานแต่ละคนต่างเป็นโรคติดสุราเรื้อรังไปตาม ๆ กัน ครั้นต่อมาบุญวาสนาส่งได้เป็นเสมียนที่ศาลากลางจังหวัดชุมพรจึงค่อยลืมตาอ้าปากขึ้นมาบ้าง สามารถละทิ้งขวดเหล้าและกลิ่นสาปสางไว้เบื้องหลัง
เนื่องจากรักที่จะหาความก้าวหน้าในชีวิตประกอบกับชะตายังไม่ถึงฆาต วาสนาจึงส่งให้เป็นที่ต้องตาต้องใจผู้ใหญ่ผู้มีพระคุณจึงได้กรุณาวิ่งเต้นให้ย้ายเข้ากระทรวง แต่นั่นแหละชีวิตของเสมียนเด็ก ๆ ในกระทรวงจะอุปมาก็คือ กระโถนท้องพระโรง ซึ่งมีหน้าที่รองรับสิ่งปฏิกูลทุกชนิดที่ใคร ๆ จะเทลงมาได้ตามใจชอบเพื่อความก้าวหน้า กลางวันข้าพเจ้าเป็นเสมียนที่กระทรวง ตอนเย็นจนกระทั่งห้าทุ่มเป็นบ๋อยในบาร์ ตอนดึกต้องเป็นนักศึกษารีบกลับบ้านอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบเทียบชั้นเตรียมอุดมศึกษา สองปีต่อมาข้าพเจ้าก็สอบเทียบได้ ในด้านการงานข้าพเจ้ากำลังก้าวหน้าไปพอสมควร แต่ในด้านจิตใจข้าพเจ้ารู้สึกว่ามโนธรรมดั้งเดิมที่ติดตัวมาจากชนบทกำลังจะหมดไป ความเห็นแก่ตัวในทางที่ผิดกำลังเข้ามาแทนที่ เพราะถูกคาวโลกีย์ที่หยาบกร้านของรอบ ๆ บ้านบ้าง ที่กระทรวงบ้าง ในบาร์บ้าง กัดกร่อนเข้าไปทุกวัน
ความหวังอันเลื่อนลอยตั้งแต่เด็ก ๆ เริ่มจะเป็นความจริงทั้ง ๆ ที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ มันน่าจะเป็นนิทานสอนเด็กมากกว่า ใครเล่าจะนึกว่าเด็กทำงานในบาร์จะทำได้ อุปมาก็เหมือนกับเกาะต้นกล้วยว่ายน้ำข้ามทะเล กล่าวคือเมื่อเล็ก ๆ เห็นรูปพระราชท่านปริญญาของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ก็อยากจะรับบ้าง แต่บอกแล้วว่าครอบครัวยากจน ข้าวจะกรอกหม้อแต่ละมื้อก็ยังไม่ค่อยจะมี บางครั้งต้องเป็นกรรมกรโรงเหล้าบ้าง เป็นเด็กเฝ้าบาร์บ้าง แม้แต่พาร์ตเนอร์มันยังดูถูกไม่อยากจะพูดด้วย บางครั้งมันยังด่าประชดเอาเสียอีก เพราะความไม่มีเงิน
บัดนี้ ความสว่างริบหรี่เหมือนแสงเทียนต้องลมก็นับวันจะทวีความสว่างขึ้นแล้ว เพราะได้มีการเปิดให้เสมียนในกระทรวงต่าง ๆ สอบชิงทุนเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยก่อนสอบคัดเลือกปรากฏว่ามีหลายคนพยายามวิ่งเต้นในทางที่ไม่ชอบ อีกหลายคนที่มีฐานะเรียนเก่งไม่จำเป็นต้องวิ่งเต้น แต่เขาก็มีเวลาดูหนังสือมาก ส่วนข้าพเจ้างานก็ต้องทำหนักเช่นเดิม เงินก็ไม่มีวิ่งเต้น เรียนก็แค่พอไปได้เป็นอันว่าทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีพิเศษอันใด จึงได้แต่สวดมนต์ไหว้พระขอให้ช่วยด้วยเฝ้านึกถึงความดีเล็กน้อยประการหนึ่งที่มีประจำตัวให้มาดลบันดาลให้สอบได้ความดีนั้นคือ ตั้งแต่เริ่มทำงานจะเป็นกรรมกรก็ดี เป็นเสมียนก็ดี ข้าพเจ้าไม่เคยคดโกงนายจ้างหรือรีดไถประชาชนแม้แต่สตางค์แดงเดียว ทั้ง ๆ ที่มีโอกาส ในที่สุดความดีที่ทำไว้ก็ไม่สูญเปล่า อย่างน้อยก็ทำให้ท่องหนังสือด้วยใจสงบเข้าสู่สนามสอบด้วยความมั่นใจบุญที่ทำไว้ ทั้งที่ดูหนังสือไม่จบสักวิชาเดียว ปรากฏว่าข้าพเจ้าสอบได้ มีสิทธิเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สาธุ ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมเสมอไป
ภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ฝังใจเหล่านี้ ได้ผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อนในขณะที่กำลังทำสมาธิ ประการสำคัญข้าพเจ้าค่อนข้างเพลียจึงตกภวังค์ครั้งละนาน ๆ ไม่อาจจะควบคุมกำหนดให้หายไปได้เต็มที่ จะนอนก็คงนอนไม่ได้นาน จึงยังคงนั่งหลับตาขัดสมาธิ ปล่อยใจให้ล่องลอยไปในอดีตที่น่าระทึกใจในห้วงแห่งภวังค์ ข้าพเจ้าเห็นนกหมู่หนึ่งบินถลาออกจากพุ่มไม้ใบหนาด้วยความตระหนก มีบางตัวเท่านั้นที่ห่วงลูกน้อยที่อยู่ในรังมิกล้าจะบินไปไกลแม้จะรู้อยู่ว่าภัยมาถึงตัว แต่นอกจากนั้นแล้ว เพียงพริบตาก็บินหายลับทิวไม้ไป
แล้วก็เห็นชายคนหนึ่งโผล่พุ่มไม้ออกมา มีนกตายใหม่ ๆ ร้อยเป็นพวงโตหิ้วโอยู่ในมือ เขาเป็นเพื่อนข้าพเจ้าสมัยเมื่อยังเป็นกรรมกรโรงเหล้า เขาชอบหนีงานไปยิงนกบ้าง หาอวนตาเล็ก ๆ ไปลากตามคลองบ้าง ริมทะเลบ้าง ลูกนกเล็ก ๆ ที่เขาจับได้ก็ฆ่าเสียไม่ปราณี แล้วโยนทิ้งโดยไม่นำไปทำประโยชน์ อ้างว่าเป็นการฆ่าเอาฤกษ์ ลูกปลาเล็ก ๆ ที่ติดแหขึ้นมาแต่ยังใช้รับประทานไม่ได้แทนที่จะปล่อยลงน้ำกลับปล่อยทิ้งไว้บนดินแห้งให้ดิ้นตายไปต่อห้าต่อตา เพราะปลาเล็ก ๆ เหล่านี้ทำให้เขาเสียฤกษ์ เมื่อได้นกได้ปลามาแทนที่จะไปทำประโยชน์ให้เต็มที่ กลับนำมารับประทานทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เป็นกับแกล้มเหล้า พอเมาเหล้าก็ทะเลาะกับเพื่อนบ้านบ้าง ทะเลาะกับภรรยาบ้าง ขาดงานบ้าง ต่อมาถูกไล่ออกจากงานเมื่อไม่มีงานทำก็ลักเล็กขโมยน้อย ในที่สุดก็ติดตะรางจะพ้นโทษแล้วหรือยัง ข้าพเจ้าไม่ทราบ
จากนั้นข้าพเจ้าเห็นยายชมข้างบ้านแม่ค้าปากตลาด ซึ่งมีเรื่องนินทาชาวบ้านได้ทั้งวัน จนชาวบ้านระอาใจ วันนี้แกไม่ได้ด่าใคร แต่กำลังยืนร้องไห้โฮ ๆ เหมือนเด็ก ๆ ส่งเสียงสะอื้นฮัก ๆ ๆ ๆ ตรงหัวบันไดเกิดอะไรขึ้นหรือยาย ข้าพเจ้าถาม“อีนิดน่ะซิ มันทำงามหน้าหนีตามผู้ชายไปเมื่อคืนนี้เอง โธ่ แล้วยายจะเอาหน้าไปไว้ไหน” นิดเป็นเด็กเพิ่งจบประถม ๔ เพียงไม่กี่เดือน เพิ่งรู้จักอาบน้ำฟอกสบู่จะเป็นไปได้หรือที่หนีตามผู้ชายไป แต่ก็เป็นไปแล้วเหมือนกับลูกสาวคนอื่น ๆ แถวละแวกบ้านนั้นหลาย ๆ คนที่ยายชมเคยนินทา แต่สำหรับรายของนิดยิ่งน่าเศร้ากว่านั้น เพราะปรากฏว่าไม่ช้าไม่นานสามีของเธอนำเธอไปขายซ่องโสเภณี
แม้ว่าเหตุการณ์จะล่วงเลยมาหลายปี ข้าพเจ้าคิดว่าลืมหมดแล้ว ในที่สุดก็ผุดขึ้นขณะทำสมาธิจนได้ภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่นอนอยู่กลางห้อง ในสภาพที่เกือบจะนุ่งลมห่มฟ้าปรากฏขึ้นมา ถ้าเป็นเมื่อสามสี่วันก่อน ข้าพเจ้าเห็นเธอในชุดนี้เข้าคงจะหน้าแดงตัวแข็งทื่อด้วยความอาย คงห้ามใจไม่อยู่ แต่วันนั้นข้าพเจ้ากลับตัวแข็งทื่อและหน้าขาวซีดจนกระทั่งเขียวคล้ำ เส้นผมเส้นขนชูชันแข่งกันทั้งตัวเพราะความกลัว เธอตายไปหลายวันแล้ว ร่างที่กำลังขึ้นอืดบวมเป่งทั้งตัว มือกาง เท้ากาง ลิ้นจุกปาก สวมกางเกงชั้นในตัวเดียว ข้าพเจ้าไปพบเธอโดยบังเอิญเพราะเธอไม่ไปทำงานหลายวันผู้จัดการใช้ให้ไปตามที่บ้านเธอเป็นนักเต้นฟลอร์โชว์ที่ผู้ชายจำนวนมากต้องไว้เป็นกรรมสิทธิ์ หลายครั้งที่ผู้ชายแทบจะฆ่ากันตายเพราะช่วงชิงเป็นเจ้าของร่างกายอวบอัดร่างนั้น และร่างนี้มิใช่หรือเมื่อเปลือยอยู่กลางฟลอร์โชว์ ผู้ชายทุกคนจ้องจนตาแทบจะทะลุออกมานอกเบ้าครั้งนั้นข้าพเจ้าจำได้ดีว่า พวกเราบรรดาบ๋อยในบาร์ทุกคนต้องช่วยกันเรี่ยไรเงิน ซึ่งได้มาจากหยาดเหงื่อและหยาดน้ำตาเพื่อเอาไปทำศพให้เธอ เพราะไม่มีใครต้องการเธออีกแล้ว แม้แต่ผู้ชายที่บอกกับเธอว่า “รักเธอยิ่งกว่าชีวิต”ค่าตัวเธอคืนละเป็นพัน ๆ บาท ไม่เหลือแม้แต่สตางค์แดงเดียว
เมื่อจิตฟุ้งไปถึงเรื่องในอดีตเสียยืดยาว ก็กลับรู้สึกตัวใหม่อีกครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าเท้าทั้งสองที่ขัดสมาธิอยู่กำลังปวดชา เพราะนั่งใจลอยมาเกือบชั่วโมงแล้ว ข้าพเจ้าจึงเหลือกตากลับขึ้นข้างบนอีกครั้งหนึ่งเป็นการน้อมเอาจิตใจที่ล่องลอยไปสุดขอบฟ้าสู่เรื่องราวในอดีตให้กลับสู่ฐานที่ตั้งตรงกลางกายอย่างรวดเร็วทันใจตามที่ท่านอาจารย์สอนไว้ภาพในอดีตเมื่อครั้งเป็นบ๋อยในบาร์ และเป็นวันทำงานครั้งแรกของข้าพเจ้าก็ผุดขึ้นมาอีก มีชายและหญิงสองคนเข้ามารับประทานอาหาร เป็นโต๊ะที่ข้าพเจ้าต้องทำหน้าที่เป็นผู้บริการ ผู้หญิงใส่เสื้อคอกว้างจนเห็นเครื่องในเกือบหมด กระโปรงของเธอยาวแต่ผ่าข้างจนเกือบถึงเอว เธอเผ่นขึ้นไปนั่งบนตักของผู้ชายให้เขาอุ้มเธอออกไปเต้นรำ ซึ่งก็ไม่ควรจะเรียกว่าเต้นรำ ควรเรียกว่าเดินกอดกันไปช้า ๆ กลางฟลอร์คลอเสียงดนตรีมากกว่า ความที่เป็นเด็กบ้านนอกเพิ่งเข้ากรุง ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นผู้หญิงไร้ยางอายเช่นนั้นมาก่อนจึงตกใจ ปากอ้า ตาค้าง ปล่อยชามอาหารที่จะนำมาเสริฟตกลงกระทบพื้นแตกกระจายไม่มีชิ้นดี พอดีวันนั้นนายจ้างผู้จัดการบาร์ไม่อยู่ มิฉะนั้นคงจะถูกไล่ออกตั้งแต่วันแรก จึงได้รู้ว่าที่แท้ยางอายมันได้เหือดแห้งไปจากสาวไทยมากขึ้นทุกวัน ๆ ตั้งแต่นั้นข้าพเจ้าก็กลายเป็นตัวตลกประจำบาร์ ไม่กี่วันหลังจากนั้นมีชายหนุ่มสามคนแต่งตัวภูมิฐานเข้ามาในบาร์ ช่วยกันสั่งอาหารจนเต็มโต๊ะราวกับจะรับประทานสักสิบคน แล้วสั่งให้ข้าพเจ้าหาคนป้อนมาให้ ข้าพเจ้ามองหน้าเขาทั้งสามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะเขาก็ไม่ได้มีเด็กมาด้วย อีกซ้ำก็ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งในพวกของเขาเป็นคนพิการถึงกับตักอาหารกินเองไม่ได้ และด้วยความไม่รู้ถึงความบ้าตัณหาหน้ามืดของชาวกรุงว่ามีมากมายถึงปานนั้น จึงรับอาสาทำการป้อน “ไอ้...กูต้องการผู้หญิงโว้ย” สิ้นเสียงด่า เขาก็ยกเท้าร่าหมายเอาหน้าข้าพเจ้าเป็นเป้า ต้องรีบโดดแทบไม่ทัน ข้าพเจ้าเกือบถูกไล่ออกจากงาน แต่สาธุชนคนดีไม่เคยสร้างความอัปรีย์ไว้ที่ใดตลอดชีวิต อย่าว่าแต่พระเลยแม้มนุษย์ก็ต้องช่วย คุณนายของผู้จัดการจึงเกิดความสงสารข้าพเจ้าเป็นพิเศษ เปลี่ยนหน้าที่ให้ข้าพเจ้าเป็นเด็กล้างชามอยู่หลังร้าน มิฉะนั้นคงต้องท้องแห้งไปอีกนานวันข้าพเจ้าจำหน้ามันทั้งสามได้อย่างดีเนื่องจากเกือบจะถูกไล่ออกจากงาน เพราะความคลั่งตัณหาของคนเหล่านั้น
ไม่นานนักข้าพเจ้าเห็นภาพถ่ายของคนหนึ่งในสามคนนั้น ในหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน ปรากฏว่ามันไปเกิดเรื่องในโรงอาบอบนวดและถูกแทงตายเสียแล้วครั้นเห็นแล้วไม่เกินห้านาทีเรื่องราวฝังใจในอดีตก็เกิดขึ้นมาอีก ข้าพเจ้าเห็นตนเองกำลังก้มหน้าก้มตาพิมพ์หนังสืออยู่ที่ด้านข้างของห้องหัวหน้าคนหนึ่ง ได้ยินเสียงของท่านพูดกับเสมียนสาวเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้า ซึ่งครั้งหนึ่งข้าพเจ้าและเพื่อนเสมียนด้วยกันเคยพยายามที่จะตีสนิทและใกล้ชิดกับเธอ เพราะเธอสวยมาก เสียงนั้นไม่ดังนักพอได้ยินชัดเจน“เธอรู้ว่าฉันมีเมีย มีลูกเป็นตัวเป็นตนแล้ว ภาระเลี้ยงดูครอบครัวอยู่บนบ่าของฉันคนเดียว รายจ่ายแทบจะไม่ชนเดือน จะให้มารับเลี้ยงเธอและลูกในท้องเธออีกฉันทำไม่ได้ ที่จะช่วยให้ได้งานทำอยู่ทุกวันนี้ก็ดีแล้ว เงินเดือนมีเท่าไรก็เลี้ยงตัวเองสิ” เสียงพูดก็ขาดหายไปมีแต่เสียงสะอื้นขึ้นมาแทนที่ ข้าพเจ้าถึงได้รู้ตัว มิน่าเล่า เสมียนสาวผู้นี้ทำอะไรไม่เป็น วันหนึ่ง ๆ เอาแต่แต่งตัวหัวหน้าก็ไม่เคยว่า หนำซ้ำกลับให้ความสนิทสนมเป็นพิเศษเสียอีก แถมสิ้นปีก็ได้เพิ่มเงินเดือนอีกสองขั้น“แล้วท่านจะให้หนูทำอย่างไรคะ ในเมื่อเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากท่านเอง”“ไม่ยากทำตามที่ฉันบอก เอามันออกก็แล้วกัน” เธอลาป่วยไปหลายเดือนกลับมาอีกครั้งในสภาพที่ซูบซีดร่วงโรย กลายเป็นคนอมโรคตลอดมา
จริงแล้วที่พระพุทธองค์ตรัสว่า“กามทั้งหลายเป็นของเผ็ดร้อน เป็นประดุจอสรพิษเป็นที่หมกมุ่นแห่งคนพาลคนหลง เขาต้องอัดอดเดือนร้อนเป็นทุกข์สิ้นกาลนาน เพราะหลงใหลอยู่ในกาม”จากนั้นข้าพเจ้าเห็นหัวหน้างานอีกคนหนึ่งของข้าพเจ้ากำลังเกรี้ยวกราดกับลูกน้องที่หนีงานบ้าง ปล่อยงานค้างบ้าง และข้าพเจ้าก็พลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วยฐานะที่ทำงานล่าช้า ทำไมจะไม่ล่าช้า ในเมื่อหัวหน้าเองชอบพาเสมียนหน้าใหม่ ๆ ไปกินข้าวกลางวันตามลำพังกว่าจะกลับมาก็บ่ายสองโมง ไม่ทราบว่าไปกินกันถึงไหน ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ได้แต่นิ่งก้มหน้าภาวนาในใจว่า สาธุ หากเราได้ดีมีตำแหน่งกับเขาบ้างในภายหน้าก็ขออย่าให้ประพฤติตนอย่างนี้เลยจะเสียชาติเกิดเมื่อวันงานเลี้ยงวันเกิดของหัวหน้ากองท่านหนึ่ง
ข้าพเจ้าตั้งใจจะรับใช้ให้สมกับที่ท่านไว้ใจใช้สอย ในคืนนั้นทุกคนสนุกสนานเต็มที่เมาจนพูดภาษาคนไม่ค่อยรู้เรื่อง ต่างคนต่างพยายามคุยโอ้อวดความสามารถของตนเอง เสนอความดีความชอบต่อหัวหน้ากอง บางคนก็เมาเกินขนาดถึงกับฟุบอยู่กับโต๊ะอาหาร บางคนก็นั่งคุยคนเดียว และบางคนยังติดนิสัยประจบเจ้านายอย่างเข้ากระดูกดำ แม้ขณะเมาจนไม่รู้สึกตัวก็พยายามรินเหล้าให้เจ้าด่างสุนัขของท่านหัวหน้ากองกิน แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเจ้าด่างนั้นรู้ว่าเหล้าไม่มีประโยชน์อะไรต่อร่างกายของมัน จึงไม่ยอมกิน ผลที่สุดเขาก็กินเหล้าแทนสุนัข นี่หรือคืองานวันเกิด จะหาสิ่งใดเป็นมงคลไม่มี หมดเงินค่าสุราอาหารเป็นพันเป็นหมื่นแต่ไม่ทราบว่าท่านตักบาตรให้พระฉันบ้างหรือเปล่าเข็มนาฬิกาพรายน้ำชี้บอกเวลาตีสามตรง ข้าพเจ้ายังพยายามบังคับใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน ไม่ยอมหลับนอน เสื่อที่รองนั่งอยู่ยังเปียกชุ่มโชกอีกอย่างหนึ่งก็ใกล้จะถึงเวลาทำความเพียรในวันใหม่อีกแล้ว อย่างไรก็ตามความเพลียที่ได้รับทำให้ข้าพเจ้ากำหนดใจอยู่ได้ครู่เดียว
ในที่สุดก็ล่องลอยสู่เหตุการณ์ในอดีตด้วยความเคยชินเป็นสิบ ๆ ปีมาแล้วอีกครั้งหนึ่งข้าพเจ้าจะระลึกถึงญาติพี่น้องที่เป็นชาวบ้านบ้าง ชาวสวนบ้าง ที่จังหวัดชุมพร ฤดูนี้มิใช่หรือที่ชาวนาต้องไปนอนเฝ้าข้าวที่เก็บเกี่ยวแล้ว กองอยู่ในทุ่ง เพราะยังไม่ทันจะนำเข้าสู่ลานนวด ฤดูนี้มิใช่หรือที่ชาวสวนต้องแบกปืนเฝ้าสวนตลอดรุ่ง มิฉะนั้นไม้ผลเช่นทุเรียน เงาะ มังคุด ฯลฯ จะถูกขโมยจนหมดแม้กระทั่งลูกอ่อน เฮ่อ...
“กูไม่ไป กูจะอยู่กับเมียของกู จะเอากูไป กูไม่...ไม่...ไม่...ไม่ไป โอ๊ย... ไอ้ทักษ์ช่วยกูด้วยนี่เป็นเหตุการณ์อีกรายหนึ่ง ที่ความเป็นเสมียนท้องพระโรง ทำให้ข้าพเจ้าต้องรับใช้ใกล้ชิด ท่านเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ซึ่งเมื่อเอ่ยชื่อแล้วประชาชนชาวไทยแทบทุกคนเป็นต้องร้อง อ้อ เพราะท่านดังจริง ๆ แต่ขณะนั้นท่านกำลังเพ้อเพราะพิษไข้บางทีใครมาชวนท่านให้ร่วมเดินทางไปยังที่ใดสักแห่งหนึ่งซึ่งมืดมิดแล้ว ท่านก็ไม่อยากจะไปด้วย แต่ถูกบังคับจึงได้ตะโกนร้องให้นายทหารคนสนิทชื่อพิทักษ์ช่วย ก็ใครเล่าจะไปช่วยกันได้ในเรื่องเช่นนี้ เมื่อต่างคนต่างเกิดต่างคนก็ต่างตาย เส้นทางสายที่ท่านไม่อยากไปนี้อาจจะเป็นสายหนึ่งในจำนวนหลายสายที่คนเมื่อตายแล้วต้องเดินก็ได้ หลังจากนั้นไม่นานท่านก็จากโลกมนุษย์ไป โดยที่พวกเราซึ่งเป็นผู้น้อยไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ และแม้ทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นกองพล ๆ ซึ่งท่านเคยออกประกาศิตให้ฆ่าใครได้ดังใจ ก็ช่วยท่านไม่ได้เช่นกัน ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าท่านตายแล้วจะไปไหน เพราะความดีท่านก็ทำไว้เยอะ ศัตรูท่านก็ฆ่าเขาไว้มาก หรือว่าคนที่ถูกท่านฆ่ากำลังมาทวงหนี้กรรมท่านจึงร้องโหยหวนถึงปานนั้น
จิตใจของข้าพเจ้าล่องลอยไปสู่อดีตมากเกินไปแล้ว อยากจะลุกออกไปเดินจงกรมยืดเส้นยืดสายเปลี่ยนอิริยาบทเสียบ้าง เพื่อระงับความฟุ้งซ่านแต่ดินยังแฉะอยู่ และบัดนี้ฝนก็เริ่มจะปรอยลงมาอีกแล้ว จึงต้องทนนั่งใจลอยต่อไปภาพในอดีต งานรับประทานเลี้ยงงานหนึ่ง ขณะที่ทุก ๆ คนกำลังสนุกสนานเต็มเหวี่ยงยกเว้นข้าพเจ้า ก็ผุดขึ้นมาให้เห็น วันนั้นเป็นวันกลางเดือน อีกตั้ง ๑๕ วัน กว่าเงินเดือนจะออก แต่ข้าพเจ้าเหลือเงินอีกไม่ถึงร้อยบาท มันทำให้กลุ้มใจแทบจะเป็นบ้า อกุศลจิตก็เกิดขึ้นหรือว่าเราควรจะแบ่งเงินค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะ และค่าเช่าที่พักของข้าราชการในต่างอำเภอที่ส่งมาขอเบิก เพราะรายงานเหล่านั้นเราก็รู้ว่าเป็นรายงานเท็จ เราจะโกงเงินของคนโกงบ้างจะเป็นไร แต่ผลทีสุดมโนธรรมที่หลงเหลือก็ยังอุตส่าห์เตือนตัวเองว่าอย่าทำเมื่อเพลียหนักเข้า ง่วงมากเข้า ในที่สุดข้าพเจ้าก็นั่งพิงกลดหลับไปโดยไมรู้สึก มาตกใจตื่นต่อเมื่อแสงเงินแสงทองจับขอบฟ้าแล้ว เสื้อผ้าชุดที่สวมอยู่ก็แห้งแล้วด้วยไออุ่นในตัว เท้าทั้งสองชาจนปวด ต้องใช้มือช่วยประคองเหยียดออกกว่าจะลุกเดินได้ต้องนั่งเกือบสิบนาทีสายวันนั้น หลังจากรับประทานอาหารและทำวัตรเช้าแล้ว ข้าพเจ้าเดินจงกรมรอบ ๆ บริเวณที่จัดอบรม เพื่อสลัดทิ้งภาพต่าง ๆ ที่ผุดขึ้นเมื่อคืนนี้ให้หมดไปแต่ละย่างก้าวข้าพเจ้าภาวนาในใจช้า ๆ ว่า “สัมมา อะระหัง” และตั้งใจกำหนดนิมิตอย่างจริงจัง แต่เดินไปได้อย่างมากไม่เกินสิบก้าวความคิดของข้าพเจ้าก็แวบกลับมาสู่เรื่องราวเมื่อคืนนี้อีก คาวโลกีย์ที่ตลุยมาตั้งแต่เล็กจนกระทั่งบัดนี้ มันได้ถือโอกาสจับจองห้องหัวใจของข้าพเจ้าไว้นานแล้ว สำหรับเป็นที่หมักหมมฟักตัวเพื่อเจริญเติบโตของมัน
ในเวลาเดียวกันก็ขยายแพร่พิษร้ายให้กัดกินมโนธรรมอยู่ทุกวันอุปมาเหมือนสนิมในเนื้อเหล็กที่กัดกินแท่งเหล็กให้ผุกร่อนหักพังไปฉะนั้นข้าพเจ้าต้องไปกราบท่านอาจารย์ให้ช่วยแก้ไข มิฉะนั้นจิตใจจะฟุ้งซ่านเกินไป เพรื่อถึงขนาดนี้แล้ว การบังคับข่มใจย่อมไม่ได้ผลต้องอาศัยปัญญาพิจารณาดับเหตุเสียก่อน จิตจึงจะกลับเป็นสมาธิดังเดิมได้ อุปมาเหมือนควาญช้างผู้ชำนาญย่อมใช้ขอบังคับให้ช้างทำงานคัดไม้ลากซุงตามปรารถนาได้ ไม่ว่าช้างจะดื้อดึงเกเรเพียงใด แต่เมื่อถึงคราวช้างตื่นไฟป่าที่ไหม้มาทั้งสี่ทิศแล้ว ถึงจะสับขอจนมิดด้ามมันก็หายอมไม่ ต้องหาน้ำดับไฟให้มอดเสียก่อน ช้างนั้นจึงจะสงบและทำได้ดังเดิม“ถูกแล้ว นิมิตเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อคืนนี้ คือคำตอบอย่างดีว่า ทำไมประเทศไทยจึงไม่ทันประเทศอื่น ๆ สักที”ท่านอาจารย์กล่าวช้า ๆ แล้วเทศนาแสดงเหตุผลแห่งการกระทำนั้น ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนในแง่ของธรรม และแยกแยะวิธีแก้ไขละเอียดลออบางอย่างก็ไม่อาจจะนำมาเล่าสู่ท่านฟังได้ เพราะอาจมีความกระทบกระเทือนต่อบุคคลบางจำพวก จึงสรุปเอาแต่ข้อความที่เป็นเนื้อแท้ๆ สั้น ๆ ให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณาพอสมควร
ท่านกล่าวว่า ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทั้งในอดีตและปัจจุบัน ตลอดไปถึงอนาคตของโลกมนุษย์คือ คนส่วนมากไม่รู้จักค่าของความเป็นคนได้ดีพอ เขาหลงคิดว่าเขารู้จักความเป็นคนดีแล้วทั้ง ๆที่เขาไม่รู้ว่าคนคืออะไร คุณธรรมข้อไหนบ้างที่ทำให้คนเป็นคน และการกระทำใดบ้างที่เมื่อคนทำแล้วจะทำให้ใกล้ความเป็นสัตว์เข้าไปทุกที คนส่วนมากพากันเข้าใจเพียงว่า การที่มีโอกาสเกิดมาจากพ่อและแม่ที่เป็นคน ไม่ได้โชคร้ายเกิดจากพ่อแม่ที่เป็นสัตว์ก็เป็นความดีอยู่ในตัวเองอย่างเพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องทำหน้าที่อย่างอื่นอย่างใดอีกให้สมกับความมีโชคนั้น เขาเหล่านั้นพากันเข้าใจว่าเมื่อเกิดมาสามารถพูดได้ ยามหิวก็สามารถล่าสัตว์มากินเป็นอาหารได้ ยามเกิดความใคร่ก็สามารถเสพย์กามมีทายาทสืบเผ่าพันธุ์ได้ ยามมีภัยเกิดขึ้น เช่น ฝนตก น้ำท่วม พายุจัด ดินฟ้าอากาศแห้งแล้งก็สามามารถหนีภัยเพื่อรักษาชีวิตของตนรอดไปได้ ไม่ว่าการกระทำนั้น ๆ จะเป็นการเบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ สิ่งเหล่านี้พอแล้วสำหรับความเป็นคนของเขา ความเข้าใจผิดเหล่านี้เอง ที่ทำให้ค่าความเป็นลดลงไปจนเหลือเท่ากับสัตว์เดียรัจฉานตัวหนึ่ง
ที่เป็นเช่นนี้เพราะ...เมื่อคนและสัตว์เกิดจากครรภ์มารดา ต่างก็มีสัญชาติญาณติดตัวมาด้วยซึ่งเรียกว่าสัญญา คือ
ประการแรกถ้าเป็นลูกคนก็ร้องแว้ ๆ ถ้าเป็นสุนัขก็ร้องอิ๋ง ๆ ถ้าเป็นลูกไก่ก็ร้องเจี๊ยบ ๆ เสียงที่เปล่งออกมาครั้งแรกทั้งสิ้นเป็นการบ่งแสดงออกถึงความทุกข์ว่า บัดนี้ข้าฯเกิดมาแล้วพ้อมกับมีทุกข์เวทนาอย่างติดตัวมาคือ โรคหิว (อาหารสัญญา)เมื่อหิวก็ต้องกินต้องนอนต้องถ่าย ครั้นโตขึ้นพอสมควรถ้าเป็นเปิดไก่ก็อายุ ๓ – ๔ เดือน สุนัขก็ ๗ -๘ เดือน ถ้าคน ๑๓ – ๑๔ ปี ก็เริ่มมีโรคประการที่สองติดตามมา มีอาการรุนแรงและทุรนทุรายไม่น้อยกว่าโรคหิว มันคือโรคใคร่ในกาม (กามสัญญา) นั่นเอง ถ้าสังเกตเด็ก ๆ จะพบว่าพออายุ ๑๔ –๑๗ ปี หูตาชักจะเป็นมันวาวชอบส่องกระจก นี่คืออาหารของโรคใคร่ในกามที่เกิดแก่คนและสัตว์เมื่อย่างเข้าวัยหนุ่มสาว ครั้นต่อมาเมื่อรู้เดียงสามากขึ้น โรคประการที่สามก็ตามมาคือ โรคกลัวตาย (มรณสัญญา) ถ้าจะถือว่าความเป็นคนมีขึ้นเองตั้งแต่เกิดโดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลย ก็เป็นความคิดที่ผิดมาก เพราะสัญญาที่อุปมาเหมือนโรคแต่ละชนิดคือ โรคหิว โรคใคร่ในกาม โรคกลัวตาย ได้มีอยู่ทั้งในคนและสัตว์ตั้งแต่เกิด เหตุนี้ทั้งคนและสัตว์เดียรัจฉานจึงต่างหาข้อแตกต่างอันใดในตัวไม่ได้ ต่างมีฐานะเป็นสัตว์โลกเท่ากัน คนจะเริ่มดีกว่าสัตว์ก็ตรงที่มีความรู้ผิดรู้ถูก รู้ดีรู้ชั่ว รู้จักกลัวผลแห่งกรรมชั่ว และมีความอายซึ่งเรียกว่าธรรมสัญญาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า คนจะดีเพราะชาติก็หาไม่ แต่ความดีความชั่วที่กระทำต่างหากที่ทำให้คนต่างกันนับแต่โบราณสมัยก่อนพุทธกาล เป็นสมัยที่คนยังอยู่เป็นตำบลเล็ก ๆ ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร ต่างสังเกตเห็นว่า เขาเหล่านั้นมีคุณสมบัติในตัวพิเศษเหนือกว่าสัตว์ในราวไพร คือไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ดีกว่าสัตว์ตรงที่สามารถพูดภาษาคนได้ เพราะถึงจะพูดได้แต่ถ้าไม่รู้เรื่องก็ไม่เกิดประโยชน์ เขาพบว่าสัตว์รอบ ๆ หมู่บ้านย่อมเบียดเบียนกันด้วยเรื่อง ๔ ประการด้วยกัน กล่าวคือเพื่อบำบัดซึ่งความหิวสัตว์ย่อม
๑. ฆ่ากันเองได้ เช่น สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก และ
๒. ลักขโมยอาหารซึ่งกันและกัน
๓. เพื่อบำบัดซึ่งความใคร่ในกาม สัตว์ย่อมแย่งคู่สมรสกัน ถึงกับต่อสู้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน
๔. เมื่อสัตว์กินอาหารผิด เช่น กินผลไม้พิษหรือน้ำที่ผลไม้ตกลงไปหมักดองตามธรรมชาติจนเกิดแอลกอฮอล์แล้ว สัตว์ย่อมเมามายถึงกับต่อสู้ทำลายชีวิตกันและกันอาการทั้ง ๔ ประการนี้ คือ ฆ่ากันเอง ๑ ขโมยอาหารกัน ๑ แย่งคู่สมรสกันหนึ่ง ๑ เมามาย ๑ เขาจะกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานในร่างของคนทันที ยิ่งกว่านั้น ถ้าจะคิดในทางชั่วก็สามารถทำชั่วได้มากว่า เพราะเขาสามารถพูดเท็จได้ ดังนั้นคนที่พูดเท็จจึงเลวกว่าสัตว์อย่างยิ่ง จะต้องถูกกำจัดออกจากหมู่บ้านหรือตำบล เพราะบุคคลที่กล่าวเท็จแล้ว ความชั่วอย่างอื่นที่จะไม่กล้าทำยอมไม่มี
ดังนั้น การเว้นจากกความเลวอันเป็นนิสัยสันดานของสัตว์ และของคนที่เลวยิ่งกว่าสัตว์ จึงรวมกันได้เป็น ๕ ประเภท คือ
๑. เว้นจากเข่นฆ่ากัน
๒. เว้นจากลักทรัพย์กัน
๓. เว้นจากแย่งคู่สมรสกัน
๔. เว้นจากพูดเท็จหลอกลวงกัน
๕. เว้นจากกินของมึนเมาเสพติดให้โทษ
จึงกลายเป็นของคู่โลก นับแต่ดึกดำบรรพ์ต้นตระกูลของคนย่อมไม่กระทำเป็นอันขาด เพราะถือว่าเป็นการทำลายความเป็นคน เขาไม่ทำความชั่วห้าประการนี้อย่างเด็ดขาดเป็นปรกติ เหตุนี้จึงทำให้เกิดศีล (ศีล แปลว่า ปกติ ไม่ได้แปลว่าข้อห้ามดังคนส่วนมากเข้าใจกัน และมีมาก่อนสมัยพุทธกาล) เพื่อแสดงถึงความเป็นปกติของมนุษย์ หรือมาตรฐานห้าประการของความเป็นคนนั่นเอง และเขาเรียกศีลห้าข้อนี้ว่ามนุษยธรรม คือธรรมที่ทำให้คนเป็นคนนิมิตที่เธอเห็นทั้งหมดเมื่อคืนนี้ เป็นการบ่งออกว่าบัดนี้ความเมตตาซึ่งกันและกัน การฆ่าฟันต่าง ๆ จึงเกิดขึ้น ฆ่าสัตว์รังแกสัตว์เพื่อเป็นอาหารบ้าง เพื่อความสนุกบ้าง ฆ่าตนด้วยกัน เพื่อการแย่งชิงในสิ่งบางสิ่ง เช่น ชิงอำนาจ ชิงทรัพย์สิน หรือเคียดแค้นบ้าง ฯลฯเมื่อขาดความเมตตาเสียแล้ว ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นก็ลดลง ความเห็นแก่ตัวก็กล้าขึ้น ดังนั้น คนก็สามารถที่จะลักขโมย จี้ปล้น คดโกงทรัพย์สินของใคร ๆ ก็ได้ แม้ว่าเจ้าของทรัพย์นั้น จะเป็นผู้มีพระคุณของตนเองเมื่อความเห็นแก่ตัวกล้าขึ้น ย่อมตกเป็นทาสของกามารมณ์โดยง่าย เพราะการเสพกามนั้น มิใช่มุ่งเสพกันเพื่อให้ความสุขความสนุกสบายแก่ผู้อื่น แต่มุ่งเพื่อตนเองก่อนโดยเฉพาะการเสพกามเป็นสุขทางกายชั่วครู่ชั่วยามของสัตว์ และรสของกามนั้นมีอานุภาพแรงนัก สัตว์แทบจะไม่คิดถึงชีวิตของเขาทีเดียวในยามนั้น เมื่อสัตว์เห็นแก่ตัว ติดรสกามเป็นที่ตั้ง ต้องการบำเรอตนเองแล้ว บุคคลย่อมไม่คำนึงถึงความผิดหวัง ความเสียใจของใคร ๆ ทั้งสิ้น จึงสามารถล่วงประเวณีในสภาพที่ไม่สมควรประการต่าง ๆ ได้
สามารถที่จะกระทำชั่วอื่น ๆ ทั้งฆ่าฟัน คดโกงจี้ปล้น หรือผิดศีลข้ออื่นได้ทั้งหมด เพื่อขอให้เสพกามนี่เองคนเรา เมื่อปฏิบัติตนไปในเรื่องผิด ๆ ทั้งปวงแล้ว ย่อมไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนผิด อีกประการหนึ่งก็มีสันดานประจำตนคือแม้จะทำผิดทำชั่ว แต่ก็ไม่อยากให้ใครรู้ ไม่อยากให้ใครประณาม อยากให้ผู้อื่นเห็นตนในแง่ดี จึงจำต้องหาวิธีต่าง ๆ ที่จะปิดยังกลบเกลื่อนความชั่วของตน วิธีปิดบังซ่อนเร้น หรือหาประโยชน์ใส่ตนนั้น ไม่มีวิธีใดจะใช้ได้ง่าย สะดวกต่อการพลิกแพลงเหมือนการพูดปด ดังนั้น เราจึงพบคนพูดปดกันอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองอย่างไรก็ตาม การหาความสุขสบายโดยวิธีทำบาปนั้น ย่อมไม่มีทางสำเร็จได้ เหมือนใช้น้ำทำเชื้อไฟจะจุดไม้ขีดลงที่น้ำธรรมดานั้นสักเท่าไร ก็ไม่มีทางได้เปลวไฟเช่นเดียวกันเมื่อทำบาป ผลที่เป็นความสุขย่อมเกิดขึ้นไม่ได้
ความสุขที่แท้จริงเกิดขึ้นได้โดยเหตุเดียวเท่านั้น คือ ประกอบกุศลกรรม คนโง่นั้น เมื่อไม่พบความสุขจากการประกอบความชั่วของตน แทนที่จะหาทางประกอบเหตุใหม่ คือพยายามสร้างความดี กลับหาทางทำผิดเพิ่มขึ้นไปอีก ด้วยการทำให้ร่างกายและสมองมึนงง เฉยชา เมามาย หลับใหล ไม่ให้รู้สึกตัว ไม่ให้มีสติ จะได้ไม่ต้องเสียใจ หรือเจ็บช้ำใจ ไม่ต้องคิดอะไรมาก คนประเภทนี้จึงยึดเอาสิ่งเสพติดต่าง ๆ เป็นที่พึ่งคนทุกวันนี้ ได้ตกอยู่ในการกระทำทำนองที่กล่าวแล้ว เขาจึงอยู่ไม่เป็นปกติ อำนาจของการปฏิบัติตนตามศีลเท่านั้น ที่จะทำให้เขากลับเป็นอยู่อย่างปกติได้ ศีลนี้เท่านั้น เป็นคุณธรรมรากฐานของความเป็นมนุษย์คดีใหญ่ต่าง ๆ ที่บังเกิดขึ้น เนื่องจากคนสร้างคดีเหล่านั้นไร้ศีลทั้งสิ้น
ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านผู้อ่านบทความนี้ คงเป็นผู้หนึ่งซึ่งปรารถนาความสุข และความสุขชนิดที่ท่านต้องการนั้น ก็คงเป็นความสุขชนิดที่แท้จริงและถาวร ไม่ใช่สุขจอมปลอม ชั่วครั้งชั่วคราวเป็นแน่ ข้าพเจ้าขอชวนท่าน เรามาถือศีลกันเถิด เอาแต่ศีลห้าก่อนก็พอแล้ว ถ้าบุญท่านมากพอ ท่านก็จะรักษาได้มากขึ้นไปกว่านี้เอง รักษาได้มากข้อเท่าใด ความสุขย่อมเกิดขึ้นมากเป็นสัดเป็นส่วนกัน ถ้ารักษาได้มากข้อทีสุด เคร่งครัดที่สุด ย่อมทุกข์น้อยที่สุดหากคนในสังคม คนในบ้านเมืองใด พากันนิยมรักษาศีลแล้ว เรื่องเลวร้ายต่าง ๆ เช่นที่เรารู้ ๆ กันอยู่ย่อมหมดสิ้นไป บ้านเมือง คนในชาติ ความเป็นอยู่ของประเทศ จะเริ่มเป็นสุขกันถึงขนาดไหน เราทุกคนจะไม่ต้องหวาดกลัวผู้ร้ายทั้งในเครื่องแบบ และนอกเครื่องแบบ ไม่ต้องหวาดกลัวสงครามนอกประเทศ ไม่ต้องพลัดพรากจากกันโดยไม่สมควร ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้เลย
เราก็ได้เป็นมนุษย์เลิกเป็นคนกันเสียทีดินคลองสามยังเปรี้ยวอยู่เช่นเดิม เปรี้ยวจนพืชพันธุ์น้อยใหญ่ไม่ยอมงอกงามเจริญเติบโต แต่ธรรมทายาททุกคนหาได้ถูกดินคลองสามกัดกร่อนมโนธรรมลงไปไม่ แต่นับวันสัมมาทิฏฐิกลับจะเจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป หลังจากได้กินน้ำอมฤต คือ พระธรรมทั้งภาคปริยัติและปฏิบัติจากท่านอาจารย์ ณ ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรมแห่งนี้ใครจะเชื่อเล่าว่า ในขณะที่มโนธรรมกำลังจะผุกร่อนไปจนสิ้น เพราะคาวโลกีย์ของคนหนาแน่นขึ้น ข้าพเจ้าและเพื่อน ๆ จำนวนหนึ่ง กลับได้รับการอุปถัมภ์จากพี่น้องชาวพุทธ ส่วนหนึ่งบริจาคทรัพย์ช่วยกันสร้างกลดบ้าง อุปกรณ์อื่น ๆ บ้าง อาหารบ้าง ฯลฯ จนกระทั่งการอบรมธรรมทายาทลุล่วงไปด้วยดี ทุกคนที่ได้รับประโยชน์ไปอย่างเต็มที่ ต่างบ่ายห้ากลับสู่ที่อยู่และสถาบันของตนด้วยมโนธรรมอันแจ่มใสมั่นในคุณของพระรัตนตรัยยิ่งขึ้น พระคุณของท่านทั้งหลายนั้นมากมายนัก ตัวข้าพเจ้าเองเหมือนชุบชีวิตใหม่ให้ หากจะถือว่าพวกข้าพเจ้านิสิตนักศึกษาเหล่านี้ เป็นปัญญาชนของชาติแล้ว ก็เหมือนท่านได้ช่วยอนาคตของประเทศชาติทีเดียว
สมควรที่ข้าพเจ้าทุกคนจะพากันไปกราบแสดงคารวะในพระคุณครั้งนี้แทบเท้าทุก ๆ ท่าน แต่จนใจด้วยความไม่สะดวกนานนาประการ จึงขอฝากกราบขอบพระคุณไว้ ณ โอกาสนี้โดยพร้อมเพียงกัน...