ช้างอมงวง
เขียนโดย พลอยพีระช้างอมงวง
ช้างชั้นเลวทั้งหลาย เมื่อถึงคราวประจัญบาน ต่างเอางวงใส่ปากอมไว้ด้วยกลัวเจ็บ ทั้งนี้เนื่องจากงวงเป็นจุดอ่อนที่สุดภายในร่างกายของช้าง ถูกกระทบนิดหน่อยก็เจ็บ ช้างชนิดนี้ไม่มีใครปรารถนา เป็นช้างเสนียดมีแต่จะถูกฆ่าทิ้งเพราะมันเป็นช้างอมงวง
เสียงระฆังเมื่อยามสามดังสะท้านขึ้นมา ท่ามกลางราตรีอันเงียบสงัดของท้องทุ่งนารังสิตคลองหลวง เสียงนั้นสะท้านสะเทือนก้องไปตลอดทุ่งกว้าง แล้วจางหายไปกับสายลมและหมู่ไม้ แต่ละครั้งที่ขอไผ่รูปหัวจงอยกระหน่ำลงบนปุ่มระฆัง มันช่างเป็นมนต์ขลังที่ปลุกวิญญาณของเหล่าทหารในกองทัพธรรมให้พลิกฟื้นตื่นขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวา เพื่อว่าจะได้เร่งปรารภความเพียรกำจัดกิเลสในขันธสันดานให้สิ้นไป เสียงระฆังชุดที่สามยังมิทันจะจางหายไปทั่วอาณาบริเวณศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม พลันมีคบเพลิงชูสว่างไสวไม่ต่ำกว่าห้าสิบดวงปรากฏขึ้นอย่างน่าประหลาด คบเพลิงแต่ละดวงห่างกันมิใกล้มิไกลประมาณได้ ๔๐ วา
ดวงไฟเหล่านั้นค่อยๆ เลื่อนใกล้เข้ามาๆ ๆ เมื่อเข้ามาระยะใกล้ปรากฏว่ามันอยู่ในมือของบุรุษในชุดอาภรณ์สีขาว แต่ละบุรุษเดินตัดทุ่งนามาคนละไม่น้อยกว่าครึ่งกิโลเมตรด้วยอาการอันสำรวม แม้จะเดินมาใกล้กันแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยกันแม้สักคำ ในที่สุดทุกคนก็มารวมกันภายใต้เต๊นท์อำนวยการหลังกระทัดรัด
ณ ที่นั้นมีพระภิกษุหนุ่ม อายุประมาณสามสิบเศษนั่งหลับตาขัดสมาธิคอยอยู่ก่อนแล้วถึงสามรูปด้วยกัน ทุกบุรุษก้าวเข้ามาตรงหน้าพระคุณเจ้าทั้งสามอย่างสำรวม และระวังมิให้เกิดเสียงรบกวนอันใด พร้อมกับลดกายลงกราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น แล้วหลับตาพอปิดสนิท
ทั่วบริเวณนั้นช่างเงียบสงบ วิเวก เยือกเย็น แต่ไม่วังเวง ตรงกันข้าม ทุกอณูของบรรยากาศที่อยู่รอบๆ ตัวกลับอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด เวลาผ่านไป จากสิบห้านาทีเป็นครึ่งชั่วโมง ก็ยังปรากฏว่าไม่มีผู้ใดจะขยับไหวติงแต่ประการใด ทุกคนยังนั่งนิ่งอยู่ต่อหน้าพระภิกษุทั้งสามรูปประดุจรูปปั้นที่แกะสลักจากแท่งศิลาสีขาวฉะนั้น
จีวรเหลืองอร่ามเมื่อกระทบกับแสงสว่างของคบเพลิงที่ปักเรียงรายไว้โดยรอบ ยิ่งขับผิวของพระคุณเจ้าทั้งสามให้ผ่องใสปานประหนึ่งสีทอง ดูช่างสงบเยือกเย็นและอิ่มเอิบไปด้วยบุญ ก่อให้เกิดศรัทธาปสาทะในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น
บุรุษชุดขาวเหล่านี้เป็นใคร มาจากไหน ทำไมจึงได้มานั่งหลับตาชุมนุมอยู่ต่อหน้าพระภิกษุในยามราตรีที่น่าหลับนอนเช่นนี้ หรือว่าเขามาประชุมเพื่อพิจารณาค้นหาสิ่งลี้ลับประการหนึ่งประการใด ที่ต้องใช้สมาธิจิตอย่างยิ่ง ถูกแล้ว! เขาเหล่านี้เป็นนิสิตนักศึกษาจากสถาบันต่างๆ ทั่วประเทศไทย ซึ่งได้มา ณ สถานที่นี้เพื่อร่วมกันปฏิบัติธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาเหล่านี้ต้องการค้นหาพระธรรมที่พระบรมศาสดาทำให้แจ้งแล้ว เพราะเขาเหล่านี้ก็ต้องการเป็นทายาทโดยธรรมของพระองค์ และหนึ่งในจำนวนผู้ปรารถนาเป็นธรรมทายาทก็คือข้าพเจ้า ซึ่งกำลังจะเล่าความเป็นมาของธรรมทายาทเหล่านี้ให้ท่านฟัง เพื่อว่าวันนี้ในปีหน้า อาจจะมีท่านอีกผู้หนึ่งก็ได้ซึ่งจะไปนั่งรวมกลุ่มประพฤติปฏิบัติธรรมกับบรรดาบุรุษชุดอาภรณ์ขาวทั้งหลายเหล่านั้น
ข้าพเจ้าเป็นใคร? ข้าพเจ้าเป็นเด็กวัดอาศัยอยู่กับพระที่วัดบวรนิเวศวิหารตั้งแต่เริ่มเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง จนกระทั่งจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ ได้อาศัยกุฎิวัดเป็นที่อยู่ที่นอน อาศัยวัดเป็นสถานที่ศึกษา อาศัยข้าวก้นบาตรพระเป็นเลือด เป็นเนื้อ เป็นกระดูก และอาศัยไม้เรียวกิ่งมะขามในมือพระอาจารย์เป็นเข็มทิศของชีวิต แม้เหตุการณ์จะล่วงเลยไปหลายปี แต่ข้าพเจ้ายังจำเรื่องราวเหล่านั้นได้เหมือนกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เช้ามืดต้องลุกขึ้นกวาดลานรอบๆกุฎิ ถ้าวันไหนตื่นสายโดยเฉพาะหน้าหนาว หลวงพ่อท่านก็จะใช้น้ำใสๆและเย็นจับขั้วหัวใจสาดเข้าไปในมุ้ง ท่านผู้อ่านที่เคารพ เพียงขันเดียวเท่านั้นมันก็ชุบวิญญาณให้พลิกฟื้นจากความสลบไสล มีชีวิตชีวาได้อย่างเฉียบพลัน นั่นคือบทเรียนเร็วใหม่ บทที่หนึ่ง เรื่องความเกียจคร้าน
กวาดกุฏิเสร็จ ก็ต้องรีบเข้าทำครัวทำอาหารไว้รอท่าหลวงพ่อเพราะความยั่งยืน หรือความดับสูญแห่งพระพุทธศาสนา ได้ถูกฝากไว้กับหม้อข้าวของชาวบ้านมานานนับพันๆ ปี ยุคใดชาวบ้านมีศรัทธา พระภิกษุก็ได้อาศัยข้าวปากหม้อบ้านละทัพพียังชีพอยู่อย่างเป็นสุข ยุคใดชาวบ้านกำลังถูกภัยเศรษฐกิจคุกคาม ยุคนั้นพระสงฆ์ก็พลอยเดือดร้อน พอหลวงพ่อออกบิณฑบาตรข้าพเจ้าก็ต้องรีบเข้าครัว เพราะถึงอย่างไรก็หวังแน่นอนไม่ได้ บางวันหลวงพ่อกลับมาพร้อมกับอาหารเหลือเฟือลูกศิษย์ก็พลอยอิ่มไปด้วย วันใดชาวบ้านศรัทธาหย่อนหลวงพ่อกลับมาพร้อมกับข้าวติดก้นบาตร ก็จะได้แก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที มิฉะนั้นจะต้องขอดจนก้นบาตรทะลุ อาหารในหม้อกายสิทธิ์ ที่มิรู้จักหมดใบนี้ก็ยังไม่พอแจกจ่ายแก่ลูกศิษย์ตั้งห้าคนหกคนของท่าน การกะเตรียมอาหารมิใช่เรื่องง่ายจะต้องเป็นผู้มีหูกว้างตากว้างพอใช้ ต้องรู้ว่าวันี้เป็นวันสำคัญหรือเปล่า เช่นวันเช็งเม้ง ซึ่งเป็นวันไหว้บรรพบุรุษของชาวจีน วันครบรอบวันเกิดของใครบางคนในย่านนี้ วันเปิดป้ายร้าน วันแต่งงาน วันไหว้ครูของเกจิอาจารย์ ฯลฯ ถ้าตรงกับวันสำคัญเหล่านี้ ก็ไม่ต้องเตรียมอาหารมากเพราะจะเหลือโดยใช่เหตุ อย่างไรเสียก็ต้องมีการทำบุญตักบาตร ท่านอาจารย์คงบิณฑบาตรรวยกลับมา แต่ก็มีหลายครั้งเหมือนกันที่ข้าพเจ้าคำนวณผิด ลูกศิษย์ร่วมกุฏิจึงต้องเอาน้ำลูบท้องแก้หิวตามๆ กัน มันช่างเป็นรสชาดที่ขมขื่นแสนจะทนทาน นี่คือบทเรียนเร็วใหม่ บทที่สองเรื่องความมีสติรอบคอบ
บทเรียนจากการอดข้าว ทำให้พวกเราซึ้งและเข้าใจอย่างซึมซาบถึงคำว่า “กองทับต้องเดินด้วยท้อง” มิว่าจะเป็นกองทัพทางโลกหรือกองทัพธรรม ก็หนีกฎเกณฑ์อันนี้ไม่พ้น มิน่าเล่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเอาศาสนาไปผูกไว้กับข้าวปากหม้อ เช้าพระต้องรีบออกบิณฑบาตตั้งแต่อรุณเพิ่งจะขึ้น กลางวันจะต้องฉันอาหารก่อนมื้อเที่ยงของชาวบ้านถึงหนึ่งชั่วโมง ซึ่งเราเรียกกันว่าฉันภายในเพล
ความสะดวกสบายที่เด็กวัดอย่างพวกข้าพเจ้าจะพึงได้รับก็มีพอสมควร แต่ไม่ถึงกับเหลือเฟือเหมือนเด็กบ้าน หลวงพ่อท่านย้ำแล้วย้ำอีกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราใช้สอย เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า ยารักษาโรค ฯลฯ ต่างเป็นสิ่งที่ชาวบ้านทำบุญมาทั้งสิ้น ก่อนที่เขาจะบริจาคท่าน ก็ยกมือจบท่วมศีรษะอธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก หวังกุศลผลบุญในภายภาคหน้า ถ้าเราเอาใช้ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ จะเป็นหนี้เป็นภัยไม่รู้จบเพราะเป็นการทำลายบุญของทายกทายิกา ด้วยเหตุนี้เองวันหนึ่งข้าพเจ้าเปิดไฟทิ้งไว้ในห้องด้วยความเผลอเรอ พอนึกขึ้นได้ก็รีบกลับมาจะดับไฟ ปรากฏว่าไฟได้ดับแล้วพร้อมกับเสียงเคาะกระดิ่งเป็นสัญญาณเรียกเฉพาะตัวให้เข้าพบหลวงพ่อ ผลคือ ถูกแก้ผ้าเฆี่ยนด้วยไม้เรียวกิ่งมะขามอันงาม นี่คือบทเรียนเร็วใหม่ บทที่สาม เรื่องความประหยัด
มีเรื่องเล่ากันว่า ในสมัยพุทธกาลมีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อวังคีสะเป็นผู้เชี่ยวชาญในคัมภีร์ไตรเพทและโหราศาสตร์ทุกแขนง ชำนาญมากจนกระทั่งว่าเพียงเคาะกะโหลกคนตาย ก็รู้ได้ว่าผู้ตายนั้นไปเกิดภพหรือภูมิไหน จะไปเกิดเป็นสัตว์นรกก็รู้สิ้น แต่เมื่อพราหมณ์วังคีสะผู้นี้ ไปเคาะกะโหลกพระอรหันต์ที่เข้านิพพานแล้ว ก็จนปัญญาไม่ทราบว่าพระอรหันต์เหล่านั้นสิ้นกิเลสแล้วไปอยู่ที่ไหน ในที่สุดจึงละทิฐิเผาตำราโหราศาสตร์ทิ้ง แล้วบวชเป็นพระภิกษุอยู่ปฏิบัติธรรมยังสำนักของพระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้า มิช้ามินาน ก็เผาผลาญกิเลสหมดจากขันธสันดานสำเร็จเป็นพระอรหันต์เช่นกัน ผู้มีความเชี่ยวชาญโหราศาสตร์ถึงปานนั้นยังเผาตำราหันหน้ามาปฏิบัติธรรม แต่พระภิกษุสมัยนี้ กลับละทิ้งการปฏิบัติธรรมไปศึกษาโหราศาสตร์ นับเป็นการถอยหลังเข้าคลองอย่างยิ่ง ด้วยความเป็นเด็กและชอบสอดรู้สอดเห็นทำให้อดที่จะวิจารณ์พระหมอดูไม่ได้ เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ หลวงพ่อที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่เป็นผู้หนึ่งที่ซึ่งมีชื่อเสียงในทางนี้ พวกศิษย์รุ่นพี่ได้ตักเตือนข้าพเจ้าให้หยุดวิจารณ์ “เพราะหลวงพ่อเป็นหมอดูอย่างชนิดมีเบื้องหลัง สักวันหนึ่งจะเข้าใจเองว่าท่านไม่ได้ทำผิดต่อพระศาสนา” แต่ใครเล่าจะยอมเชื่อง่าย ๆ เห็นท่านนั่งคำนวณผูกดวงอยู่ทุกวัน เมื่อรุ่นพี่เห็นข้าพเจ้าไม่เชื่อฟัง และจะเป็นการหาเหตุร้ายใส่ตัวจึงช่วยกันขุดเอาวิชาเคาะกระโหลกของท่านวังคีสะมาใช้กับข้าพเจ้า โดนพี่ ๆ เขกกะโหลกคนละโป๊กสองโป๊กจนหัวน่วม ทำให้นอนหลับสบายหายจากโรคคันปากชอบวิจารณ์จนกระทั่งปัจจุบันนี้ นี่คือบทเรียนเร็วใหม่ บทที่สี่ เรื่อง อย่ายุ่งในเรื่องมิใช่ธุระ
วันแล้ววันเล่าปีแล้วปีเล่า ที่ข้าพเจ้าได้อาศัยเจริญเติบโตขึ้นมาในท่ามกลางผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมคือพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ถ้าจะไม่ได้หัวข้อธรรมใดกลับไปบ้านบ้างก็คงจะผิดวิสัย ผู้รู้จะตำหนิได้ว่าเป็นพวกไร้ปัญญา อุปมาเสมือนทัพพีที่ใช้ตักแกงแม้ทัพพีนั้นนจะถูกใช้ตักใช้ขอดจนกระทั่งสึกไปครึ่งค่อนอันแล้ว ก็ยังไม่รู้รสแกงว่ากร่อยว่าเค็มเป็นประการใด ข้าพเจ้าคำนึงเรื่องนี้อยู่หลายปี ในที่สุดจึงได้เริ่มค้นหาพระธรรมใส่ตัว
น่าอับอายในความไร้ปัญญา พอเริ่มค้นหาพระธรรม ข้าพเจ้าก็ยึดเอาศาสนาชนิดที่เป็นเนื้องอกมาแบกไว้จนเต็มล้า เบื้องแรกข้าพเจ้าชอบสะสมเครื่องรางของขลังแปลก ๆ สะสมพระเครื่องรุ่นเก่า ๆ และที่ข้าพเจ้านิยมชมชอบมากที่สุดก็คือ หนังหน้าผากเสือ เพราะถ้าใครมีติดตัวแล้ว จะทำให้มีอำนาจประดุจพยัคฆ์ร้าย หรือเจ้าลายพาดกลอนตัวเขื่องทีเดียว ไม่ว่านักเลงหรือจิ๊กโก๋จะต้องเกรง แต่แล้ววันหนึ่งแม่สุนัขที่ข้างกุฏิคลอดลูกใหม่ ๆ มันคงจะรักและหวงลูกมันมาก พอข้าพเจ้าเดินผ่านไปใกล้ที่อยู่ของมันจึงลอบกัดเอา ในที่สุดข้าพเจ้ากลับถือว่า มันคือเทวทูตมาเตือนสติข้าพเจ้าอย่างดี ข้าพเจ้ากลับเพิ่มความรักใคร่และความสงสารเอ็นดูแม่สุนัขตัวนั้นยิ่งขึ้นเพราะมันเตือนใจให้ได้คิดว่า หนังหน้าผากเสือที่ซึ่งข้าพเจ้าได้มาและมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งนั้นที่แท้ไม่มีอำนาจอะไรเลย แม้กระทั่งสุนัขก็ยังไม่กลัว ยิ่งกว่านั้นในภายหลังข้าพเจ้ายังได้ข้อคิดอีกว่า ถ้าเสือตัวนั้นมันมีอำนาจมันเก่งจริง ข้าพเจ้าคงไม่ได้หนังหน้าผากของมันมาเป็นแน่ เพราะมันเก่งไม่จริงต่างหากเขาจึงถลกหนังของมันมาได้ โชคยังดีที่ข้าพเจ้าไม่เคยไปแสดงอำนาจขู่ใครเพราะความเชื่อมั่นผิด ๆ ในหนังเสือแผ่นนี้ มิฉะนั้นข้าพเจ้าคงจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกถลกหนังเช่นเดียวกับเสือตัวนั้นก็ได้ นี่คือบทเรียนเร็วใหม่ บทที่ห้า เรื่องความงมงาย
เมื่อหนังหน้าเสือใช้ประโยชน์อันใดมิได้ ต่อมาในสมัยอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ข้าพเจ้าจึงได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของสำนักประทับทรงแห่งหนึ่งที่ฝั่งธนฯ ที่นั่นรับสอนอบรมพระธรรมแก่ประชาชนทั่วไป ด้วยการอัญเชิญดวงวิญญาณของพระภิกษุผู้ทรงคุณธรรมสูง ซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มาประทับทรง แล้วคนทรงจึงค่อยสอนถ่ายทอดไปอีกทีหนึ่ง ข้าพเจ้าไปคลุกคลีอยู่ที่นั่นประมาณ ๒-๓ ปี จึงมีบางอย่างทำให้คิดไปว่า “สมเด็จเป็นผู้มีคุณธรรมสูงตลอดชีวิตของพระองค์มีแต่เกียรติประวัติอันดีงาม เหตุไฉนท่านช่างไม่สะอิดสะเอียนที่จะเข้าไปอาศัยอยู่ในร่างของคนทรง ซึ่งเพียงศีลห้าก็รักษาไม่ค่อยจะข้ามคืน อีกประการหนึ่งขณะที่กำลังเข้าทรง คนทรงเองก็ขาดสติไม่มีความรู้สึกเป็นของตนเอง คนไม่มีสติเขานิยมเรียกว่า “คนบ้า” แล้วสมเด็จจะมาเข้าทรงเพื่อให้คนเป็นบ้าหรือ” เมื่อคิดได้ดังนี้จึงเข้าใจทันที ที่โบราณใช้คำว่า ทรงเจ้าเข้าผี ข้าพเจ้าเชื่อทันทีว่าไม่ใช่ประทับทรงเจ้า แต่มันเป็นการเข้าผีชัด ๆ พอนึกถึงผีข้าพเจ้าจึงรีบเผ่นหนีออกจากสถานที่นั้นทันที เพราะถูกหลอกเสียจนพอแรง นี่คือบทเรียนเร็วใหม่ บทที่หกเรื่องคนหลอกผี?
รสชาติแห่งการขอดข้าวก้นบาตรพระยังไม่จางไปจากใจ รอยไม้เรียวยังไม่จางไปจากผิวหนัง และความระบมของวิชาเขกกระโหลกของท่านวังคีสะยังไม่ทันหายขาด เวลาก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปได้หลายขวบปีจากเด็กวัดมาเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในระยะนี้เองที่ทำให้ข้าพเจ้าห่างวัดไปบ้าง สนุกเฮฮาไปตามประสานิสิตใหม่ขาดการค้นคว้าปฏิบัติธรรมเกือบ ๒ ปี แต่ฟ้าดินยังไม่ถึงกับไร้น้ำใจ ปล่อยเด็กวัดซึ่งตั้งใจปรนนิบัติและเคารพครูบาอาจารย์ตลอดมา ต้องตกไปในความประมาทนานเกินควร ในที่สุดพี่ขจรเทพวัชรการุณ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ศิษย์วัดร่วมกุฏิร่วมอาจารย์เดียวกันมาได้พาข้าพเจ้าไปปฏิบัติธรรมที่บ้านธรรมประสิทธิ์ ซึ่งเป็นการปฏิบัติธรรมตามแนววิชชาธรรมกาย
ข้าพเจ้าตั้งใจฟังท่านอาจารย์อธิบายหลักและวิธีปฏิบัติธรรมตามแนววิชชาธรรมกายจนจบ หลังจากนั้นก็นำมาคิดทบทวนไตร่ตรองหาเหตุผลทั้งทางแง่วิทยาศาสตร์สมัยนิยมที่เรียนมา และในแง่หลักธรรมที่หลวงพ่อเคยอบรมตั้งแต่เป็นเด็กวัด เมื่อเห็นว่าเข้ากันได้ในแง่ของทฤษฎีแล้ว ข้าพเจ้าก็ลงมือปฏิบัติธรรมทันที ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าเชื่อหรือไม่เชื่อแต่เพื่อทดลองหาความจริง โดยให้เวลาและผลการทดลองเป็นเครื่องตัดสิน
ก่อนสอบประจำปีไม่กี่วัน ข้าพเจ้าได้ทราบจากพี่ขจรว่า ท่านอาจาย์ทตฺตชีโว ภิกฺขุ จะเปิดการอบรมทายาทภาคฤดูร้อน ข้าพเจ้าตัดสินใจสมัครไปทันที เพราะโอกาสนี้แล้วที่ข้าพเจ้าจะพลาดมิได้ด้วยเหตุผลที่คิดได้ทันทีทันใดสองประการคือ
๑. ข้าพเจ้าต้องการพิสูจน์ด้วยตนเองว่า พระธรรมนั้นมีผลแก่ผู้ปฏิบัติจริงหรือไม่ และการปฏิบัติธรรมตามแนววิชชาธรรมกายจะเป็นไปได้เพียงไร
๒. เพื่อพัฒนาตนเองให้สมกับที่เติบโตขึ้นมาจากข้าวกันบาตรพระ อีกประการหนึ่งทั้งที่ข้าพเจ้ายังเป็นนิสิต แต่ก็นึกถึงพระคุณของชาวบ้าน ที่เคยให้ข้าวให้น้ำมิได้ขาดจนกระทั่งมายืนหยัดอยู่ได้เท่าทุกวันนี้ จึงได้ดำเนินการทดแทนพระคุณชาวบ้านเท่าที่จะทำได้ ด้วยการจัดตั้ง โครงการ “มหาวิทยาลัยชาวบ้าน” โดยการให้นิสิตอาสาสมัครออกไปสอนหนังสือแก่ชาวบ้านรอบ ๆ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ไม่ใช่รอบวัดเพราะโอกาสยังไม่อำนวย) เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ไม่มีโอกาสได้เรียนในสถาบันใด ๆ ได้รับความรู้เพิ่มเติม ทั้งในด้านวิชาอาชีพและความรู้สามัญทั่วไปจะได้นำมาเป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน แต่มาหวลคิดได้ว่า “ตัวเราเองจะออกไปสอนหนังสือเพื่อพัฒนาเขา แต่ตัวเราได้พัฒนาตัวของเราให้ดีแล้วหรือ” จึงหวังไว้ว่า ถ้าไปอบรมเป็นธรรมทายาทครั้งนี้ คงได้มีโอกาสพัฒนาจิตใจและขัดเกลากิเลสของตนเองให้เบาบางลงไปบ้าง
ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าและธรรมทายาททุกคนได้พร้อมใจกันสมาทานศีลแปดและสมาทานธุดงค์ แล้วลงมือทำสมาธิทันทีโดยไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีแม้กระทั่งดอกไม้ธูปเทียน ก่อนตีสี่ทุกคนไปที่เต๊นท์อำนวยการเพื่อนั่งทำสมาธิร่วมกันซึ่งทุกคนพูดกันจนติดปากว่า “ไปนั่งธรรมะ” ประมาณตีห้าเกือบครึ่งใกล้จะเปลี่ยนจากวันเก่าเป็นวันใหม่ ทุกคนก็ออกไปรับอรุณพร้อมกันในที่โล่งแจ้ง มิฉะนั้นจะขาดจากธุดงค์ที่สมาทานไว้ ในช่วงอรุณจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้น เป็นช่วงที่มีค่าที่สุดในการทำสมาธิ ทุกคนเดินจงกรมกลับไปกลับมาบนท้องทุ่งกว้าง สูดเอาอากาศอันสดชื่นซึ่งหาได้ยากที่สุดในเขตนครหลวงฯ เข้าไว้จนเต็มปอด ในเวลาเดียวกันก็อาศัยดวงอาทิตย์ที่กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า เป็นดวงกสิณที่เลิศที่สุด
สายหน่อยหลังจากรับประทานอาหารเช้าและทำธุรกิจส่วนตัวเล็ก ๆ น้อยๆ แล้ว ก็เริ่มนังธรรมะจนเกือบเพล หลังอาหารเพลมีเวลาพักผ่อนชั่วครู่ พอบ่อยโมงกว่า ๆ ก็เริ่มนั่งธรรมะอีก เนื่องจากอากาศตอนบ่ายค่อนข้างร้อน ท้องก็อิ่ม และตื่นแต่ดึกทุกคืนทำให้ทุกคนบังเกิดถีนะมิทธะ คือความง่วงเหงาซึมเซาอย่างยิ่ง มันอยากจะนอนท่าเดียว พอนั่งได้ไม่เกินสิบห้านาทีก็เริ่มจะง่วง พอรู้สึกเคลิ้มๆ ทีไร เสียงเตือนของท่านอาจารย์ก็ดังมาเตือนได้จังหวะทุกที มันเสียดแทงเข้าไปในโสตประสาทว่า “ธรรมทายาททั้งหลาย...เธออย่าได้เป็นเช่นช้างอมงวงเลย” เพียงประโยคสั้นๆ ประโยคเดียวมันทำให้ทุกคนทั้งเจ็บทั้งอายยิ่งกว่าเสือที่ถูกลบลายทิ้งเสียอีก ความง่วงถูกสลัดทิ้งไปเหมือนเมื่อครั้งอยู่วัดตอนแรกแล้วนอนตื่นสาย หลวงพ่อท่านจึงใช้น้ำสาดเข้าไปในมุ้งมันสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมาทีเดียว
เมื่อยามสองทัพเข้าประจัญบาน เท้าทั้งสี่ของพญาช้างสารย่อมใช้กระทืบและเหยียบย่ำข้าศึก หางย่อมใช้ปัดป้องธนูและหอกซัดซึ่งวิ่งมาจากเบื้องหลัง สีข้างย่อมใช้เบียดสิ่งกีดขวางให้พังพินาศงาย่อมใช้ทิ่มแทงข้าศึก หัวย่อมใช้ยันกำแพง หูย่อมปัดป้องธนูและหอกที่ซัดมาจากทิศทั้งสี่ และที่สำคัญที่สุดงวงจะต้องยื้อแย่งกระชาก แม้หอกดาบซึ่งอยู่ในมือของศัตรู แล้วซัดกลับไปทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม ช้างอย่างนี้จึงได้ชื่อว่าช้างแก้ว เป็นสุดยอดปรารถนาของจอมทัพ ได้ช้างแก้วเช่นนี้เพียงหนึ่งเชือกก็อาจจะสามารถทำลายล้างกองทัพช้างจำนวนมากของศัตรูให้สิ้นไปได้ ตรงกันข้ามกับช้างชั้นเลวทั้งหลาย เมื่อถึงคราวประจัญบานต่างเอางวงใส่ปากอมไว้ด้วยกลัวเจ็บ ทั้งนี้เนื่องจากงวงเป็นจุดอ่อนที่สุดภายในร่างกายของช้าง ถูกกระทบนิดหน่อยก็เจ็บ ช้างชนิดนี้ไม่มีใครปรารถนา เป็นช้างเสนียดมีแต่จะถูกฆ่าทิ้ง เพราะมันเป็นช้างอมงวง
ทุกคนมาสถานที่นี้เพื่อมาปฏิบัติ อุปสรรคของการปฏิบัติธรรมก็คือ ความง่วง ถ้าผ่านด่านนี้ไม่ได้ การปฏิบัติธรรมครั้งนี้ก็ย่อมไม่มีความหมาย ฉะนั้นถ้าใครนั่งง่วงก็กลายเป็นคนไร้สมรรถภาพ ไม่น่าจะปรารถนาไม่สมควรให้อยู่ในหมู่ ถ้าเปรียบกับช้างก็เป็น “ช้างอมงวง” ฉะนั้น คำเตือนของท่านอาจารย์ประโยคนี้จึงแทงเข้าไปในขั้วหัวใจไม่ลืมเลย โดยเฉพาะเวลาได้ยินเสียงระฆังปลุกในตอนเช้ามืดยังอยากจะนอนต่อถึงจะเอาสวรรค์มาแลกกับที่นอนก็ไม่คิดจะแลกด้วย เพราะมันน่านอนจริง ๆ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าจะกลายเป็นช้างอมงวงเท่านั้น ข้าพเจ้าก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาพร้อมกับคิดว่า ถ้าจะเป็นช้างก็ขอเป็นช้างที่สู้ตายกลางดึกเถิด อย่าต้องถูกความง่วงเชือดตายดังเช่นช้างอมงวงถูกครวญเชือดตายเลย
ช้างศึกเมื่อตกหล่ม แม้ใช้ช้างอื่นช่วยฉุดก็ยังขึ้นมาหาได้ไม่ มีแต่คอยความตายอยู่ในปลักโคลนนั้นประการเดียว ครั้นช้างนั้นได้ยินเสียงกลองศึกรัวกระหน่ำเข้า ความท้อถอยก็หาย ความตายก็ไม่หวั่น ความเหี้ยมหาญกลับกำเริบ ทุกขุมขนพลันมีพลังอย่างล้นปรี่ สองหูชูชัน สี่เท้าถีบทะยานกระโจนพ้นจากหล่มมฤตยูโดยง่ายดายพร้อมกับแปร๋น ๆ เข้าสู่สมรภูมิทันที ข้อนี้ฉันใดแม้ธรรมทายาทก็ฉันนั้น ยามเมื่อได้ยินระฆังย่ำและคำเตือนของครูอาจารย์ แม้จะง่วงแสนง่วง แม้จะเพลียแสนเพลีย แต่ยังเดินประคองคบไฟย่ำโคลนตัดทุ่งไปสู่สถานปฏิบัติธรรมด้วยความกระชุ่มกระชวยเพราะธรรมทายาททั้งหลายต่างมิใช่ช้างอมงวง
สิบสี่คืนกับอีกสิบสี่วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลายคนบรรลุธรรมกาย หลายคนได้ดวงปฐมมรรค ส่วนข้าพเจ้ายังมิได้ดวงตาเห็นธรรมแต่ประการใดดังเช่นคนอื่น เพราะแต่ละคนทำบุญทำบาปไว้ไม่เหมือนกัน อีกประการหนึ่งเช่นแข่งเรือแข่งแพพอแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนาแล้วไซร้ก็ป่วยการ ดังนั้นข้าพเจ้าก็พลอยยินดีกับผู้ได้ดวงตาเห็นธรรม ส่วนตนเองก็ตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอไป สักวันหนึ่งคงได้ดวงตาเห็นธรรมกับเขาบ้างเป็นแน่ ผลจากการบำเพ็ญตนเป็นผู้มีศีล และเจริญสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญาในครั้งนี้ทำให้ทุกกคนที่เข้ารับการอบรมเป็นธรรมทายาทได้รู้จักพระพุทธศาสนาส่วนที่เป็นแก่นเป็นเนื้อหาจริง ๆ ไม่ติดอยู่แค่เปลือกของศาสนา คือพิธีการใด ๆ ไม่ทึกทักเอาของนอกศาสนา เช่น ของขลังต่าง ๆ มาปนเปกับของจริง คือพระธรรมล้วน ๆ จะได้รู้ว่าการปฏิบัติธรรมตามแนวพระพุทธศาสนาที่แท้ก็มีเพียงสามประการคือ ให้เป็นผู้มีศีลธรรม หมั่นเจริญสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญา เว้นจากการปฏิบัติธรรมทั้งสามประการนี้แล้ว การปฏิบัติอย่างอื่นเป็นเรื่องของนอกศาสนาทั้งสิ้น
ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับภูมิลำเนาและสถาบันการศึกษาของตน พวกเราได้พร้อมใจกันให้ของขวัญพระอาจารย์ด้วยการสมาทานศีลห้า เพื่อนำมารักษาไว้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ เราจะตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อประโยชน์แห่งตนและประเทศชาติตลอดไป เราผู้ใดได้รับมรดกในทางธรรมของพระศาสดา จะไม่ยอมตายเปล่าดังเช่นช้างอมงวง
ข้าพเจ้าตรึกอยู่ในธรรมเช่นนี้ตั้งแต่ออกจากศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรมจนกระทั่งถึงบ้าน แล้วกลับไปกราบเท้าเยี่ยมหลวงพ่อผู้มีพระคุณแต่ครั้งยังเยาว์ที่วัดบวรฯ หลวงพ่อยังผูกดวงดูหมออยู่เช่นเดิม สักพักเห็นแขกเหรื่อแต่ละคนเดินหน้าบานยิ้มย่องผ่องใสกลับไป ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าใจว่าทำไมพวกพี่ ๆ จึงว่าหลวงพ่อดูดวงมีเบื้องหลังวันนี้เอง ที่แท้ท่านมีดวงโหราศาสตร์ตั้งเป็นโล่ห์ไว้ข้างหน้า แต่มีดวงทานดวงศีลอยู่ข้างหลัง ซึ่งถ้าใครประพฤติปฏิบัติตามดวงพิเศษสองอย่างที่หลวงพ่อสอนได้ ย่อมได้รับความสุขไปตลอดชีวิต ส่วนดวงสมาธิ ดวงปัญญาหลวงพ่อไม่ค่อยมีโอกาสผูกให้ใครเพราะชาวโลกทั้งหลาย ยังรักจะเป็นช้างอมงวง มิน่าเล่า ท่านจึงไม่ยอมสอนวิชาผูกดวงแก่ข้าพเจ้า กลับแนะนำให้ไปอบรมธรรมทายาท
คบเพลิงที่ส่องสว่างอยู่รอบ ๆ ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรมในยามค่ำคืนได้ดับมอด แต่ความสว่างในดวงใจของธรรมทายาทนับวันจะลุกโชติช่วงยิ่งขึ้น คบเพลิงที่สว่างอยู่ในดวงใจคือพระธรรมนี้จะถูกนำไปต่อให้กับสาธุชนทั่วไป สักวันหนึ่งในอนาคตความสว่างไสวจากคบเพลิงในดวงใจที่ได้ช่วยจุดต่อกันไปไม่รู้จบ คงจะทำให้ประเทศชาติไทยได้กลับเข้าสู่ความมีสันติสุข ร่มรื่นอยู่ในรสของพระพุทธธรรม ดั่งเช่นสมัยปู่ย่าตายายตลอดเวลาอีกนานแสนนาน