“พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติตรง ตั้งมั่นอยู่ในปัญญาและศีล เมื่อมนุษย์ทั้งหลายผู้มุ่งบุญถวายทานในท่านเหล่านี้ ทานที่ถวายในสงฆ์ย่อมมีผลมาก พระสงฆ์แลเป็นผู้มีคุณยิ่งใหญ่ไพบูลย์ ไม่มีที่เปรียบได้ เหมือนทะเลที่ตะคาดคะเนได้ว่ามีน้ำเท่านี้ๆ ...ชนเหล่าใดถวายทานมุ่งตรงต่อสงฆ์ทักขิณาของเขาเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นทักขิณาที่ถวายดีแล้ว เมื่อยังท่องเที่ยวอยู่ในโลกระลึกถึงบุญเช่นนี้ได้ กำจัดมลทิน คือความตระหนี่พร้อมด้วยรากเหง้า ชนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงฐานะอันเป็นสวรรค์ (ทัททัลลวิมาน)
การทำทานเป็นเรื่องของนักปราชญ์บัณฑิต ทานเป็นเสบียงที่สำคัญในการเดินทางไกลในสังสารวัฏ หากสั่งสมทานเอาไว้มากแล้ว การบังเกิดขึ้นแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะอยู่ในเพศภาวะไหนก็ตาม ก็จะไม่ลำบากไม่อัตคัดขัดสน แต่ถ้าหากขาดแคลนปัจจัยสี่เสียแล้ว วันเสลาที่มีอยู่จำกัดในหนึ่งช่วงชีวิตนั้น ทั้งกำลังกาย กำลังสติปัญญาก็ต้องหมดไปกับการที่จะต้องแสวงหาปัจจัย ๔ เพื่อมาหล่อเลี้ยงชีวิตให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ไปได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสรรเสริญการเลือกให้
การทำทานแต่ละครั้งหากมีโอกาสควรเลือกว่า ทำบุญกับใครและต้องทำอย่างไรถึงจะได้ผลบุญมากเกินควรเกินคาด เหมือนการลงทุนที่ได้กำไรมากเกินกว่าที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนวิธีทำบุญเอาไว้ว่า ทานอันบุคคลให้แล้วในเขตใด มีผลมากบุคคลพึงเลือกให้ทานในเขตนั้น พระสุคตทรงสรรเสริญการเลือกให้ ทานที่บุคคลให้แล้วในทักขิไณยบุคคลทั้งหลาย ที่มีอยู่ในโลกคือหมู่สัตว์นี้ มีผลมาก เหมือนพิชที่บุคคลหว่านแล้วในนาดีฉะนั้น
ประวัติเทพบุตรมือทอง
ในอดีตมีพ่อค้าคนหนึ่งชื่ออังกุระ เป็นโอรสองค์สุดท้องในทวารกะนคร แต่เนื่องจากไม่ปรารถนาจะครองราชสมบัติ จึงเดินทางไปต่างแดนเพื่อทำมาค้าขายและท่องเที่ยวไปในโลกกว้างเหมือนพ่อค้าทั่วไปในระหว่างเดินทางข้ามทะเลทรายอยู่นั้นเขาเกิดหลงทางอยู่เป็นเวลาหลายวัน อาศัยรุกขเทวาตนหนึ่งซึ่งมีนิ้วมือสำเร็จด้วยฤทธิ์ช่วยเหลือเอาไว้ อังกุระปรารถนาสิ่งใด สิ่งนั้นก็หลั่งออกมาจากนิ้วมือของเทพตนนั้น จึงสอบถามรุกขเทวดา ว่าทำบุญอะไรเอาไว้ จึงมีมือทองอันสำเร็จด้วยฟทธิ์อย่างนี้ พอรู้ว่ารุกขเทวดาทำบุญเพียงแค่ชี้มือบอกทางไปบ้านของเศรษฐีผู้ใจบุญ แก่คนที่อยากได้อาหารและเสบียงในการเดินทางไกลเท่านั้น บุญอย่างอื่นนอกจากนั้น ไม่ได้ทำเลยยังมีอานิสงส์ถึงเพียงนี้ ถ้ามีโอกาสทำทานมาบ้าง บุญนั้นคงจะส่งให้ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นสูงๆอย่างแน่นอน
ทำทานสองหมื่นปี แต่ไม่มีเนื้อนาบุญ
ด้วยแรงบันดาลใจที่ได้ฟังจากรุกขเทวดาในครั้งนั้น ทำให้อังกุรพาณิชรีบออกเดินทางกลับไปสู่พระนคร ได้เริ่มขนทรัพย์มรดกที่มีอยู่ทั้งหมดออกให้ทาน ได้ให้ข้าว น้ำ ผ้า เสนาสนะ บ่อน้ำ สระน้ำ ด้วยจิตอันเลื่มใส เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าทรัพย์สมบัติที่บริจาคไปนั้นให้เท่าไหร่ก็ไม่หมดไปซักที จนผู้ที่เคยมาขอต้องเอ่ยปากว่าพอแล้ว ท่านเศรษฐี เรามีของกินของใช้เหลือเฟือแล้ว
คนสนิทได้เอ่ยถามท่านเศรษฐีว่า ถ้าท้านสักกะจอมเทพ ลงจากเทวโลกมาให้พรท่าน ท่านจะขอพรท้าวสักกะว่าอย่างไร อังกุระตอบโดยไม่ลังเลใจเลยว่า ถ้าท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าชาวดาวดึงส์จะมาให้พรแก่เรา เราจะขอพรว่า เมื่อเราลุกขึ้นแต่เช้า ในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ขอภักษาหารอันเป็นทิพย์ และพพวกยาจกผู้มีศีลพึงปรากฏ เมื่อเราให้อยู่ไทยธรรมไม่พึงหมดสิ้นไป ครั้นเราให้ทานนั้นแล้ว ไม่พึงเดือดร้อนในภายหลัง เมื่อกำลังให้พึงยังจิตให้เลื่อมใส ข้าพเจ้าจึงเลือกเอาพรอย่างนี้กะท้าวสักกะ
หมู่ญาติ แม้จะรักในการให้ทาน แต่ใจไม่กว้างใหญ่เหมือนอังกุระ จึงได้กล่าวเตือนว่า “ท่านไม่ควรให้ทรัพย์ทั้งหมดแก่คนอื่น ควรรักษาทรัพย์เอาไว้บ้าง เพราะว่าทรัพยเท่านั้นประเสริฐกว่าทาน ให้ทานมากเกินประมาณไปจะทำให้สกุลดำรงอยู่ไม่ได้ บัณฑิตย่อมไม่สรรเสริญการไม่ให้ทานและการให้เกินควร ทรัพย์เท่านั้นประเสริฐกว่าทาน บุคคลผู้เป็นปราชญ์ควรประพฤติโดยพอเหมาะ”
อังกุระฟังแล้วก็ไม่คล้อยตาม เพราะอยากจะสั่งสมบุญเอาไว้มากๆ เนื่องจากเคยได้ประสบพบเจอกับเทวดสมาด้วยตัวเองแล้ว ชีวิตในเทวโลกสุขกว่าโลกมนุษย์มากมายหลายเท่านัก อดทนทำความดีเพียงไม่กี่หมื่นปี แต่ขะมีอานิสงค์ให้ได้เสวยทิพยสมบัติเป็นเวลายาวนาน ท่านจึงยืนกรานว่าจะสั่งสมตลอดชีวิต ถึงแม้จะทุ่มเทชีวิตจิตใจทำทานตลอดชีวิต แต่น่าเสียดายที่ท่านเกิดในยุคสมัยที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติ ไม่มีภิกษุสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญแม้เพียงรูปเดียว ทานที่ทำไปจึงเหมือนหว่านพืชลงในดินที่ไม่ดี
สมัยนั้น อังกุรพาณิชได้ให้อาหารแก่ชาวเมืองวันละ 6 หมื่นเบ่มเกวียนเป็นประจำ พ่อครัว 3,000 คน ประดับด้วยมุกดาและแก้วมณี เด็กหนุ่มๆ 6 หมื่นคน ประดับด้วยต่างหูอันวิจิตรด้วย เพชร นิล จินดา ช่วยกันผ่าฝืนสำหรับหุงอาหาร ทำแถวเตาไปไฟฟ้ายาว 12 โยชน์ พวกหญิงสาว 16,000 คน ประกับเครื่องอลังการทุกอย่าง ช่วยกันบดเครื่องเทศสำหรับปรุงอาหาร แล้วยังมีหญิงสาวอีก 16,000 คน แต่งตัวสวยงามราวกับนางฟ้า ถือทัพพีเข้ายืนคอยตักอาหารให้คนที่มาขอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสทีเดียว
ฝ่ายอังกุระก็ได้มายืนมอบสิ่งของต่างๆ ด้วยมือตัวเอง ทำไปก็ปิติเบิกบาน มีจิตเลื่อมใสแทนที่จะให้คนที่มาขอทานขอบคุณตัวเอง แจ่กลับรู้สึกขอบอกขอบใจต่อคนเหล่านั้น ที่อุตส่าห์เดินทางมารับทานจากท่าน อังกุระได้บริจาคทานไปตลอดชีวิตคือสองหมื่นปี เมื่อละโลกแล้วท่านก็ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วได้เสวยทิพยสมบัติเป็นเวลานานทานที่ให้ในทักขิไณยบุคคลมีผลมาก
พอมาในสมัยพุทธกาล มีพราหมณ์ผู้ยากไร้คนหนึ่งชื่อ อินทกะ เป็นคนมีศรัทธาแต่ไม่มีทรัพย์ วันหนึ่งชายชราเห็นพระอนุรุทธะบิณฑบาตรผ่านหน้าบ้าน ด้วยจิตที่เลื่อมใส จึงได้ถวายข้าวทัพพีหนึ่ง ด้วยบุญนั้น เมื่อละสังขารก้ได้ไปเกิดในดางดึงส์ เป็นอินทกเทพบุตรผู้มีรัศมีกายที่รุ่งเรืองสว่างไสวยิ่งกว่าอังกุระเทพบุตรทั้งอายุ ยศ วรรณะ สุขและความเป็นใหญ่ทุกอย่าง
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปสวรรค์ชั้นดางดึงส์ประทับอยู่ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เทวดาในหมื่นโลกธาตุพากันมานั่งประชุมเฝ้าพระพุทธองค์ไม่มีเทพตนไหนที่จะมีรัศมีกายสว่างกวว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย เทวดาตนไหนมีศักดิ์ใหญ่มีบุญมาก็จะได้นั่งอยู่ใกล้ๆ ส่วนบุญน้อยก็จะถอยร่นออกไปเรื่อยๆ
สมัยนั้น อังกุระเทพบุตรซึ่งเคยนั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ถอยร่นไปตามกำลังบุญ นั่งอยู่ไกลถึง 12 โยขน์ ส่วนอินทกเทพบุตรนั่งอยู่ที่เดิมใกล้ๆกับพระพุทธองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถามอังกุระเทพบุตรว่า “อังกุระเธอทำแถวเตาไฟยาว 12 โยชน์ ให้ทานเป็นอันมากในกาลประมาณหมื่นปี บัดนี้เธอมาสู่สมาคมของเรา ได้อากาสในที่ไกลตั้ง 12 โยชน์ ซึ่งไกลกว่าเทพบุตรทั้งหมด ท่านไฉนจึงนั่งอยู่ไกลนัก อังกุระเทพบุตรได้กราบทูลว่า ทานของข้าพระองค์ว่างเปล่าจากทักขิไณยบุคคล ทำให้ได้ผลน้อยเหลือเกิน พระเจ้าข้า ส่วนอินทกเทพบุตรให้ทานนิดหน่อย รุ่งเรื่องยิ่งกว่าข้าพระองค์ ดุจพระจันทร์ในหมู่ดาวฉะนั้น ฝ่ายอินทกเทพบุตรเมื่อถูกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถามว่า ทำไมไม่ถอยออกไป ก็กราบทูลว่า “พืชแม้น้อยที่บุคคลหว่านแล้วในนาดี เมื่อในหลั่งสายน้ำโดยสม่ำเสมอ ผลย่อมยังชาวนาให้ปลาบปลื้มใจ แม้ฉันใดทานแม้น้อยอันบุคคลบริจาคแล้วในท่านผู้มีศีล มีคุณความดี บุญย่อมมีผลมากฉันนั้นเหมือนกัน ทานอันบุคคลให้แล้วในเขตใด มีผลมาก ควรเลือกให้ในเขตนั้น ทายกเลือกให้ทานแล้วย่อมไปสู่สวรรค์”
พระบรมศาสดาตรัสกับอังกุระเทพบุตรว่า “อังกุระ การเลือกเสียก่อนแล้วให้ทานจึงควร ทานนั้นย่อมมีผลมาก ดุจพืชที่เขาหว่านดีในนาดี แต่เธอหาได้ทำอย่างนั้นไม่ เหตุนั้น ทานของเธอจึงไม่มีผลมาก” เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนี้ให้แจ่มแจ้งจึงตรัสว่า “บุคคลพึงเลือกให้ทานในเขตที่ให้แล้ว มีผลมาก ทายกทั้งหลายครั้นเลือกให้ ย่อมไปสวรรค์ ทานที่ทายกให้แล้วในพระทักขิไณยบุคคลเหล่านั้น ย่อมมีผลมากเหมือนพีชที่หว่านไว้ในนาดี ฉะนั้น”