• Description slide 1

  • Description slide 2

  • Description slide 3

  • Description slide 4

ให้เรตสมาชิก: 5 / 5

ดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งาน
 

เรื่องโดย : พราวน้ำเพชร

แม่รู้สึกขำ ปนเอ็นดูทุกครั้งที่ได้ยินบรรดาแม่ ๆ ตอบอย่างภาคภูมิใจเวลามีใครถามว่า ลูกที่อยู่ในอ้อมแขน “อายุเท่าไร?”

วันนี้...แม่ดีใจที่สุดที่ลูกแม่ทั้งคู่ได้บวชเป็นพระได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ตนเองขอให้บุญคุ้มครองปกปักรักษาลูกแม่ให้มีความสุขความเจริญตลอดไป...แม่รักลูก

          “1 เดือน 3 วัน” “2 เดือน 14 วัน” หรือ “อีก 22 วันก็จะครบ 1 ขวบแล้วค่ะ” วันเวลาในโลกนี้ของลูกยังมีน้อยเหลือเกินและด้วยความที่ลูกเป็นศูนย์รวมของความรัก พวกเราที่เป็นแม่จึงต้องนับอายุลูกกันทุก ๆ วันเลยทีเดียว พร้อม ๆ กับเฝ้าดูและให้กำ ลังใจในพัฒนาการทุกขั้นตอนของลูก

         ย้อนกลับไปวันที่เราได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรก วันนั้นแม่อยากบอกว่า แม่ดีใจมากที่เราได้มาเป็นแม่ลูกกัน แต่กว่าจะได้ลูกมาไม่ง่ายเลย แม่ต้องลำ บากทุลักทุเลอุ้มท้องนานตั้งหลายเดือน ต้องระแวดระวังมิให้อะไรมากระทบกระเทือนลูก เวลาป่วยแม่ก็ต้องเลี่ยงยาบางตัว เพราะกลัวลูกจะฟันเหลือง และกลัวลูกจะมีความพิการทางสมอง แถมยังต้องเจ็บปวดสาหัสกว่าจะคลอดลูกออกมาได้ สำ หรับแม่ความเจ็บปวดนี้เป็นตำ นานที่เล่าขานไปได้ตลอดชีวิตเลยทีเดียว นึกแล้วยังแปลกใจไม่หายว่าผ่านมาได้อย่างไร

         ลูกชายคนโตคลอดช้ากว่ากำ หนด แม่ปวดท้องอย่หู ลายวัน วันแรก ๆ ยังปวดไม่มาก แต่ไม่คลอดสักที หมอบอกว่าเด็กควรจะคลอดได้แล้ว ช้ามากจะเป็นอันตราย หมอจึงตัดสินใจฉีดยาเร่งคลอด ยานี้เร่งการบีบรัดตัวของมดลูก ทำ ให้แม่ปวดมากขึ้น ๆ ความเจ็บปวดทวีขึ้นเรื่อย ๆ น้ำตาของแม่หลั่งไหลต่อเนื่องเป็นสาย การปวดท้องคลอดเป็นความเจ็บปวดที่สาหัสยิ่งตอนใกล้คลอดจะปวดมากขึ้น ๆ แค่ปวดชั่วโมงเดียวก็แย่แล้วแต่แม่ปวดอยู่กี่วันลูกรู้ไหม ไม่ใช่ 5 ชั่วโมง หรือ 1 วัน แต่แม่ปวด 7 วัน ทรมานที่สุดกว่าลูกจะคลอดออกมาได้

 

ลูกชายคนเล็ก คลอดก่อนกำหนดแค่ ๗ เดือนครึ่ง

       เมื่อท้องได้ 7 เดือน กับอีก 1 อาทิตย์ เลือดแม่ไหลออกมามากมาย ถ้าใครเห็นปริมาณเลือดที่หยดในบ้านโดยไม่รู้ความเป็นมา คงคิดว่าบ้านนี้มีคนถูกทำ ร้ายร่างกาย ไปถึงโรงพยาบาล หมอบอกว่า “เด็กตัวเล็กมาก ยังไม่คลอดหรอก” แม่ต้องนอนเจ็บท้องอยู่ที่โรงพยาบาลอีก 7 วันแต่ตอนนี้ลูกของแม่ไม่อยากอยู่ในท้องแล้ว ในวันที่ 7 แม่อยากตามใจลูกจึงรีบคลอดลูกออกมา เย็นวันนั้นแม่ปวดท้องมากจนแทบจะทนไม่ไหว มีเสียงคนพูดกันว่า “เด็กยังไม่กลับหัวเอาไงดี” มีคนฉีดยาระงับปวดให้แม่เข็มหนึ่ง เขากลัวแม่ทนความเจ็บปวดไม่ไหว

 

       ธรรมดาเวลาคลอดเด็กต้องเอาหัวออกมา แต่ลูกไม่ยอมกลับหัว เอาก้นออกมาก่อน เขาเรียกกันว่าคลอด “ท่าก้น” การคลอดท่านี้อันตรายมาก ๆ และเจ็บปวดกว่าการคลอดปกติแบบที่เอาหัวออกมาก่อนมากมายนัก ยังดีที่ตอนนั้นแม่ท้องแค่ 7เดือนกว่า ลูกยังตัวเล็ก พวกเราเลยปลอดภัย เมื่อโตขึ้นแม่เล่าเรื่องนี้ให้ลูกฟัง ลูกยังมีหน้ามาบอกว่า “นั่งสมาธิออกมา”

      วันนั้น แม่จำ ได้ว่าในห้องคลอดวุ่นวายกันใหญ่ พอแม่ลืมตาขึ้นมาก็เห็นนักเรียนพยาบาลมายืนเข้าแถวดูแม่คลอดลูกทั้งซ้ายทั้งขวาเป็นแถวยาวเหยียด เพราะนาน ๆ จะมีกรณีแบบนี้ให้พวกเขาได้เรัยนรู้วันนั้นแม่ดูคล้ายวีรสตรีอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าอยู่ในสมัยที่การแพทย์ยังไม่ก้าวหน้า วีรสตรีคนนี้รวมทั้งตัวลูกอาจจะจากโลกนี้ไปพร้อม ๆ กันแล้วก็ได้ เพราะในการคลอดท่าผิดปกติ ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ วันนั้นเองที่แม่ได้ประจักษ์ถึงคำ พูดที่เคยได้ยินว่า “วันเกิดลูกนั้นคล้ายวันตายแม่”

 

   

       ตอนที่มีลูกคนแรก เมื่อเรากลับมาถึงบ้าน ความโกลาหลก็เปิดฉากขนึ้ ลำ บากกว่าตอนทลี่ กู อย่ใู นท้องเสยี อกี ทงั้ เรอื่ งการกินนม กินน้ำ ฉี่ อึ อาบน้ำ ทาแป้ง และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายของลูก ซึ่งล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำ หรับแม่ แม่ได้รู้จักอะไรแปลก ๆ เพิ่มขึ้น เช่น ไกรป์วอเตอร์ มหาหิงคุ์ การจับลูกพาดบ่าให้เรอ ฯลฯ ตอนนั้นแม่ยังเจ็บแผลมาก แต่พยายามปรับตัวทำ ทุกอย่างให้ดี เพื่อให้ลูกมีความสุขที่สุด อะไรที่เป็นความสุขของลูก แม่ก็ทำ ให้เป็นต้นว่าเอาลูกมานอนบนอกแล้วร้องเพลงให้ฟัง ทั้ง ๆ ที่เสียงแม่ไม่คล้ายนักร้องเลยสักนิดแต่ลูกแม่ก็ยิ้มอย่างมีความสุขภาพนี้แม่ไม่เคยลืม และทุกวันนี้แม่ก็ยังคงจำ เพลงนั้นได้เวลาฝนตกแม่ก็อุ้มลูกไปดูฝนแรกของชีวิต แม่ยังสอนอะไรให้ลูกอีกตั้งหลายอย่าง เช่น สอนให้กินน้ำส้ม กินกล้วย กินข้าวบดผสมแกงจืดตำ ลึง หัดให้ลูกกินผัก สอนให้รู้จักปู่ ย่า ตา ยาย และสอนให้ร้จู กั สงิ่ ต่าง ๆ รอบตวั เช่น ต้นไม้ ดอกไม้ แมว นก ไก่ ผีเสื้อ รถ เครื่องบิน หนังสือ นาฬิกา ฯล

      ไม่เพียงแต่แม่เท่านั้นที่สอนให้ลกู ได้เรียนรู้แต่ลูกก็สอนให้แม่ได้รู้จักกับสิ่งต่าง ๆ มากมาย เมื่อมีลูกแม่เปลี่ยนจากคนที่ไม่เคยรักเด็ก กลายเป็นคนที่มีความรักเผื่อแผ่ไปยังเด็กคนอื่น ๆ จากคนที่มีความอดทนน้อย ก็มีความอดทนมากขึ้น จากคนที่เคยท้อแท้ ก็กลับกลายมาเป็นนักสู้ชีวิต ฯลฯ แม่ดีใจนะที่เราได้มาเป็นเพื่อนแท้ของกันและกัน ได้มาจูงมือกันเดินไปบนโลกใบนี้ และดีใจที่ลูกทำ ให้แม่เติบโตขึ้นในหลาย ๆ ด้าน มีความเข้าใจชีวิตมากขึ้น แม่สำ นึกในสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ

      ภายในเวลาไม่กี่ปี ลูกเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และมีพัฒนาการมากมาย จากเด็กตัวน้อยที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ทำ ได้แค่หายใจร้องไห้ ดิ้นไปดิ้นมา เวลาฉี่หรืออึออกมาถ้าไม่มีใครช่วยจัดการลูกก็ต้องนอนอย่อู ย่างนนั้ ลกู แม่ค่อย ๆ โตขนึ้ และเก่งขนึ้ คลานได้ นั่งได้ เดินได้ เรียกแม่ได้ นับเลข 1-3 ได้ ลูกแม่เก่งจริง ๆตอนนี้บ้านของเราไม่เงียบเหงาแล้ว เข้าขั้นอลหม่านทีเดียวตอนนั้นแม่เหนื่อยมาก ๆ แต่ ณ วันนี้ แม่มักหวนคิดถึงวันเวลาเหล่านั้น

      กว่าลูกจะโต แม้ว่าแม่จะพยายามทำ ให้ลูกมีความสุขแต่ยังมีบางวันที่พวกเราต้องเจอความทุกข์ร่วมกัน เช่น เมื่อความเจ็บป่วยมาเยือน มีอยู่วันหนึ่งลูก 2 คนป่วยพร้อมกัน แม่ต้องกระโดดไปมาระหว่างเตียง 2 เตียง ไม่ได้หลับไม่ได้นอน คอยเช็ดตัวให้ลูก คอยห่มผ้าให้ คอยระวังว่าน้ำเกลือจะไม่หยด เวลาลูกดิ้น เวลาพยาบาลมาฉีดยา เห็นลูกร้องไห้แม่ก็ร้องไห้ตามลูกป่วยทีไรกว่าจะหายแม่สะบักสะบอมทั้งใจทั้งกาย

 

 

      เมื่อลูกโตขึ้น แม่ยังคงพยายามให้สิ่งที่ดีที่สุดตามวัยของลูก ทั้งด้านวัตถุและจิตใจวันที่ลูกโตพอที่จะเข้าโรงเรียนแม่พาลูกไปเข้าโรงเรียนอนุบาลที่เลือกแล้วว่าดีและเหมาะสมที่สุดสำ หรับเรา ต่อด้วยโรงเรียนประถม ลุ้นเข้าเรียนมัธยม จนกระทั่งลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ค่าใช้จ่ายในครอบครัวเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว แต่แม่ก็ให้สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

      วันนี้ แม้ลูกของแม่เติบใหญ่แล้ว สามารถดูแลตนเองได้และอาจห่างเหินแม่ไปบ้างในบางคราวตามภาระหน้าที่ แต่ความรัก ความผูกพัน และความห่วงใยของแม่มิได้ลดลง กลับมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป นั่นคงเป็นเพราะ “ความรักเกิดจากสัญชาตญาณ แต่ความผูกพันเกิดจากกาลเวลา”ในขณะที่ลูกกำ ลังมีชีวิตที่ดีงามและมีวันเวลาในอนาคตอีกยาวไกล ตะเกียงแห่งชีวิตของแม่ก็ค่อย ๆ ริบหรี่ลง สักวันหนึ่งจะต้องดับไปเป็นธรรมดา แต่ความรักของแม่ไม่มีวันตาย จะคงอยู่นิรันดร แม่เฝ้าคดิ ว่าอะไรหนอ คือสิ่งที่ดีที่สุดที่แม่จะมอบไว้ให้ลูกได้

      ในฐานะชาวพุทธแม่สรุปว่า บุญ คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะมอบให้คนที่เรารัก เพราะทรัพย์สินเงินทองเป็นสิ่งไม่ยั่งยืน มีแต่บุญเท่านั้นที่จะติดตามตัวลูกไปได้ และบุญใหญ่ที่สุดของลูกผู้ชายก็คือบุญบวช ดังที่แม่เคยได้ยินมาว่า มาว่า “ถึงแม้จะมีผู้วิเศษเก็บดอกไม้จนหมดป่าหิมพานต์ แล้วนำ มาบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้ง 1,000 พระองค์ กระทำ ดังนี้ทุกวัน ผลบุญจากการบูชานั้นก็ไม่เท่าผลบุญจากการบวชเป็นพุทธบูชาในพระพุทธศาสนา” แม่จึงอยากให้ลูกได้บุญนี้ติดตัวไป

 

 

      ลูกรู้ไหมว่าแม่คดิอย่างไร? สมมุติว่า แม่ไม่ได้บุญอะไรเลยจากการบวชของลูก แม่ก็ยังอยากให้ลูกบวชอยู่ดี เพราะในวัฏสงสารอันยาวไกล แม่ไม่สามารถติดตามไปปกป้องคุ้มครองลูกได้ แม่อยากให้บุญบวชตามค้มุ ครองลกู แม่ให้มคี วามสขุ ความเจรญิ ตลอดไปทกุ ภพทุกชาติ เพราะความสุขความเจริญของลูกเป็นสิ่งที่แม่ให้ความสำ คัญเป็นอันดับแรก

      แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าลูกบวชแม่ก็จะได้บุญเช่นกันนี่เท่ากับว่าการบวชทำ ให้เราแม่ลูกมีแต่ได้กับได้ คือ ได้บุญที่จะตามไปค้มุ ครองพวกเราตลอดไป การบวชพระจงึ เป็นสงิ่ ทคี่ ้มุ ค่าจริง ๆ สำ หรับการเกิดมาเป็นลูกผู้ชาย เสียดายที่แม่บวชเองไม่ได้ แต่ยังโชคดีที่ลูกบวชได้ แม่เลยพลอยได้บุญไปด้วย

 

วันนี้...แม่ดีใจที่สุดที่ลูกแม่ทั้งคู่ได้บวชเป็นพระได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ตนเองขอให้บุญคุ้มครองปกปักรักษาลูกแม่ให้มีความสุขความเจริญตลอดไป...แม่รักลูก

 

จากใจลูก

      โยมแม่... โยมแม่ไม่ใช่แค่พลอยได้บุญ แต่โยมแม่ได้บุญมหาศาล อย่างน้อยก็ได้เกาะชายผ้าเหลืองลูกขึ้นสวรรค์เหมือนที่โบราณว่าไว้ที่พระตั้งใจบวชก็เพราะคิดว่า การบวชเป็นกุศลสูงสุดในชีวิตของลูกผู้ชาย เมื่อได้ชีวิตมาก็ควรจะใช้ให้คุ้มค่าด้วยการสั่งสมบุญที่สูงสุด และเพื่อตอบแทนบุญคุณโยมแม่ด้วย พระรับจากโยมแม่มาทั้งชีวิตแล้ว พระขอเป็นผู้ให้บ้าง แค่บวชไม่ได้เป็นการมากเกินไปสำ หรับตอบแทนพระคุณโยมแม่พระดีใจที่ได้มาเกิดเป็นลูกโยมแม่ สิ่งดี ๆ และความสุขในชีวิตของพระ ล้วนมีความรักความเอาใจใส่ของโยมแม่อยู่เบื้องหลังทั้งนั้น ก่อนหน้านี้ พระเคยฟังเรื่องราวของลูกหลาย ๆคนที่ได้บวชแทนคุณพ่อแม่ ฟังแล้วกป็ ระทบั ใจ รู้สึกชื่นชมยินดีกับเขาเหล่านั้น แต่นั่นเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ปลื้มและมีความสุขเท่ากับที่วันนี้พระได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ด้วยตนเองแล้ว

 

 

จากหนังสือ  WHY? ทำไม? ใครๆก็บวชกัน

สื่อธรรมะ วัดพระธรรมกาย

ค้นหา

ยอมรับเงื่อนไข ข้อมูลส่วนบุคคล