วิตามินแห่งการเป็นพระ
เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนาพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
เมื่อวันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2548
เมื่อบวชเป็นพระแล้วต้องตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมตลอดชีวิต ต้องดูแลตัวเองให้ดี เพื่อที่จะไปดูแลผู้อื่นได้ แล้วก็ให้ศึกษาที่ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เทศนา และวิชชาธรรมกาย ให้แตกฉาน
ถ้าบวชแล้วบำเพ็ญสมณธรรม ไม่เจริญศีล สมาธิ ปัญญา หรือพูดง่ายๆว่า ไม่ได้นั่งสมาธิ บวชมาก็อย่างนั้นๆไม่ได้อะไร เพราะบวชแล้วก็ยังไม่นู้ว่า ความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร หรือวิตามินของความเป็นพระ มันมีรสอร่อย โอชาอย่างไร เราจะไม่มีวันรู้จักเลย ถ้าไม่บำเพ็ญสมณธรรม ถ้าไม่ทำสมาธิ แค่อ่านจากตำรับตำรามันทราบ แต่มันไม่ลึกซึ้ง คือทราบว่า มันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ไม่ซึ้ง เพราะอ่านไปก็ยังสงสัยอยู่ เอ๊ะ ใช่หรือเปล่า เอ๊ะ มีจริงไหม พอเอ๊ะ ทีไรมันแปล๊บเข้าไปในใจทุกครั้ง เพราะมันยังไม่ค่อยมั่นใจ
ถ้าเราไม่มั่นใจแล้วเวลาญาติโยมถาม นรกสวรรค์มีจริงไหม บาปบุญคุณโทษมีไหม มันก็ไม่ค่อยจะมั่นใจ ตอบแบบคลุมๆ เครือๆ ตอบแบบกำกวม มันก็น่าจะมีนะอะไรอย่างนี้ โยมได้ฟังแล้วก็ เอ้อ บุญก็น่าจะทำนะ แล้วก็ไม่ทำ แต่ถ้าบอกมีจริง อ่ะ ทำ ถ้าบอกไม่มีก็ไม่ทำ ถ้าบอกน่าจะมี ก็น่าจะทำ มันเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น บวชแล้วอยากรู้รสชาติของการบวชว่า ปวัชชะ เว้นจากการกระทำแบบคฤหัสถ์ ที่สงัดจากกามและบาปอกุศลธรรม ละวิตก วิจาร เข้าถึงปิติ สุข เอกัคคตา เป็นอย่างไร การที่จะไปอ่านตำรับตำราอย่างเดียว ไม่มีวันรู้เรื่อง มันต้องลงมือปฏิบัติ จนกระทั่งใจหยุดนิ่ง พอใจใสแล้ว สงัดจากกาม ใจจะกว้างขวาง เราจะซาบซึ้งว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า การเป็นคฤหัสถ์ การครองเรือนนั้นมันอึดอัด มันคับแคบ การที่เราจะรู้ว่ามันอึดอัดมันคับแคบ เป็นอย่างไร เราก็จะต้องรู้จักว่า ใจที่มันกว้างขวาง ที่มันขยายนั้นเป็นอย่างไร
ทีนี้ใจจะขยายได้ ใจต้องหยุดนิ่ง การทำบุญใหญ่ด้วยมหาทานบารมี ก็ได้รู้จักบ้างเล็กน้อย ตอนเกิดปิติสุข ขนลุก ขนพอง แต่ปริมาณยังไม่เท่ากับใจหยุดนิ่ง เมื่อใจหยุดนิ่งแล้ว ใจจะขยายออกไปเลย มันมีปิติ มีความสุข แล้วมีความเบิกบานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีสิ่งใดที่จะมาเปรียบเทียบได้ เพราะฉะนั้นจะรู้จักวิตามินพระได้ ต้องนั่งสมาธิ ต้องทำตรงนี้ ถ้ามัวแต่เม้าท์กัน โม้กัน ก็ไม่มีวันรู้จัก
อีกประการหนึ่ง เราจะได้ขบฉันด้วยความเป็นนาย ไม่ฉันด้วยความเป็นหนี้ เป็นผู้ให้ เป็นทักขิไณยบุคคล เป็นเนื้อนาบุญ เราจะเป็นเนื้อนาบุญได้ ก็ต้องเข้าถึงนาบุญซึ่งอยู่ภายใน ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ตรงนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยปุ๋ยแห่งความดี เป็นพลังงานอันบริสุทธิ์ ที่มีอานุภาพไม่มีวันสิ้นสุด เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต ญาติโยมที่เขามาทำบุญกับเรา ที่เขานำภัตตราหารมาถวาย แล้วทุกคำกลืนที่เรากลืนไป เปรียบเหมือนกับกลืนเพชรกลืนพลอย มันใสยิ่งกว่าอาหารทิพย์ เพราะขณะที่ฉันนั้น ใจเราใสสว่าง ทุกคำกลืนก็เปลี่ยนเป็นบุญเกิดขึ้นกับเราก่อน แล้วไปถึงญาติโยมด้วย อย่างนี้ ฉันด้วยความไม่เป็นหนี้ แต่ฉันด้วยความเป็นนาย
และอีกประการหนึ่ง ที่หลวงพ่ออยากจะฝากเอาไว้ ทั้งลูกพระลูกเณรในวัด และประจำที่ศูนย์สาขาต่างๆก็ดีว่า บวชเป็นพระเป็นเณรแล้วอย่าดูหนัง ดูละครนะลูกนะ ดีอย่างที่นี่ไม่มีทีวีเอาไว้สำหรับดูหนังดูละคร เพราะมีความคิดว่าไม่เกิดประโยชน์อะไร อีกอย่างโยมเขาถือศีล 8 ถือศีลอุโบสถ โยมเขายังไม่ดูหนังดูละครเลย เพราะฉะนั้นลูกพระลูกเณร อย่าไปดูนะลูกนะ มันไม่เกิดประโยชน์ มันก็อย่างนั้นแหละ คิดดูก็แล้วกัน เราถือศีล 227 ข้อ โยมถือศีล 8 ข้อ เขายังทำได้ เราถือศีล 227 ข้อ ทำไม่ได้มันก็พิลึก ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปฉันข้าวของโยมเลย อย่างนี้ต้องถือศีลกินวาตา กินลม จะได้ไม่เป็นหนี้ หากเราดูหนังดูละครมันเป็นหนี้เขานะ ต้องไปเกิดเป็นอะไร ให้เขาใช้ ทำข้าวให้เขากินแทน เพราะเรากินข้าวของเขาน่ะ มันก็ต้องผลัดกัน เพราะฉะนั้น ลูกพระลูกเณรอย่านะลูกนะ
บวชเป็นพระแล้วต้องบำเพ็ญสมณธรรม วิตามินของพระ คือ บำเพ็ญสมณธรรม อย่าลืมประโยคนี้ แล้วจะสนุกกันใหญ่เลย เรามีโอกาสสว่าง ชีวิตเราไม่คับแคบ ไม่มีเครื่องกังวล จะแสวงหาความรู้ภายในได้ไปเรื่อยๆ เป็นความรู้คู่ความสุข ความรู้จะไม่มีวันสิ้นสุดเมื่อใจหยุดนิ่งแล้ว
จากหนังสือ เลิศล้ำ ถ้อยคำครู ISBN : 974-94884-6-3, หน้า 13
Edit By : Positive DESIGNS