• Description slide 1

  • Description slide 2

  • Description slide 3

  • Description slide 4

สุขภาพนักสร้างบารมี

ให้เรตสมาชิก: 5 / 5

ดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งาน
สาเหตุตาเพลีย ?
 
 

       ในวันหนึ่ง ๆ ดวงตาคู่สวยของคุณถูกใช้งานมาตลอดทั้งวัน จึงมักจะเกิดอาการไม่สบายตา ปวดเบ้าตา หรือปวดบริเวณรอบดวงตา ตลอดจน อาการสายตาพร่าได้ง่ายค่ะ ซึ่งเราเรียกกันว่าเกิดอาการสายตาเพลียค่ะ ผ่อนคลายสบายตา
      
       สาเหตุของอาการตาเพลีย
      
       1. สภาวะแวดล้อม ได้แก่ แสงสว่างไม่เพียงพอ ต้องพยายามปรับความ
       เข้มของแสงให้พอเหมาะ ไม่สว่างจ้า จนระคายเคืองหรือสลัวจนต้องเพ่ง
       ตลอดจนทิศทางของแสง ควรจัดโต๊ะทำงาน หรือ ปรับตำแหน่งของ
       ดวงไฟให้ถูกต้อง
      
       2. สายตาผิดปกติ ได้แก่สายตายาว สายตาสั้น หรือเอียง ภาวะตาเหล่
       ซ่อนเร้น ไม่ได้สวมแว่นตา ทำให้กล้ามเนื้อทั้งใน และนอกลูกตา
       ทำงานมากเกินจนทำให้เกิดอาการเมื่อยล้า และ เพลียตาได้
      
       3. มองใกล้เป็นเวลานาน ๆ เช่น เด็กนักเรียน นักเขียน นักบัญชี
       ช่างเย็บผ้า โดยเฉพาะขณะงานเร่งรีบไม่มีเวลาหยุดพัก
      
       4. มีประวัติการทำงานที่ใช้ สายตานาน ครั้งละหลาย ๆ ชั่วโมงโดย
       ไม่ได้พักสายตาเลย
      
       5. กล้ามเนื้อตาทำงานไม่ดี หรือ เกิดจากการผิดปกติของกล้ามเนื้อตา
      
       6. สาเหตุทางร่างกาย และจิตใจ พักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ สภาพ
       จิตใจไม่แจ่มใส เคร่งเครียด หงุดหงิด
      
       อาการ
      
       1. ตาพร่ามัว ตาลายเป็นพัก ๆ เมื่อยตา ปวดตา เคือง แสบ ตาแดง น้ำตาไหล
       ขณะมองใกล้ หรืออ่านหนังสือ ไม่ทน
       2. มักจะเกิดอาการเวลา บ่าย หรือ ค่ำ ๆหลังจากใช้สายตาเป็นเวลานาน ๆ
       จนกล้ามเนื้อตาเกร็ง ตั้งแต่เช้าจรดบ่าย
       3. มีอาการมึนศีรษะ และ เห็นภาพซ้อนร่วมกันด้วยเป็นครั้งคราว

      การแก้ไข
      
       1.อย่าใช้สายตาอย่างต่อเนื่องนานเกินไป เมื่อดูคอมพิวเตอร์ หรือ อ่าน
       หนังสือได้ประมาณ 1 ชั่วโมง ควรหยุดพักให้กล้ามเนื้อได้คลายตัวบ้าง โดย
       การหลับตา หรือ มองไปไกล ๆ สัก 5-10 นาที แล้วจึงเริ่มทำงานต่อไป
      
       2. ควรให้โต๊ะทำงาน และ อ่านหนังสือรับความเข้ม และ ทิศทางของแสง
       ให้ถูกต้อง ตลอดจนสิ่งที่ดู (คอมพิวเตอร์) ควรอยู่ห่างจากตาประมาณ
       35-50 ซม. นะคะคุณขา..
      
       3. วิธีง่าย ๆ ในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา ก็คือ ใช้ฝ่ามือของคุณวางลงบน
       ตาทั้งคู่ พร้อมกับหายใจเข้าออกช้า ๆ สัก 2-3 นาที จะช่วยให้รู้สึกสบายตา
       ขึ้นค่ะ
      
       4.. หากปฎิบัติตามคำแนะนำแล้ว ตายังเพลียอยู่ ควรไปพบจักษุแพทย์
       เพื่อหาสาเหตุ เพื่อให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ
      
       แก้ไขได้ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ ? อยู่ที่การปรับวิธีการดำเนินชีวิตเล็กน้อย
       เท่านั้น แล้วคุณจะได้ถนอมดวงตาให้ใช้งานได้ตลอดทั้งวัน โดยไม่ต้อง
       เพลียสายตากันอีกค่ะ

ให้เรตสมาชิก: 5 / 5

ดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งาน
สิทธพงศ์ อุรุวาทิน แปลและเรียบเรียงจาก นิตยสารไทม์ ฉบับ ๔ ส.ค.๒๕๔๖
จุดประกายสารคดี วันพฤหัสที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๖
กรุงเทพธุรกิจ : จุดประกาย หน้า



http://www.yogameditation.com/var/corporate/storage/images/english/haaaa_international_course_center/fotogallerie/meditation/meditation__5/21331-1-nor-NO/meditation_image_400_w.jpg


         การนั่งสมาธิกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในซีกโลกตะวันตก ขณะที่ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ยืนยันว่า การทำสมาธิ
ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย หากยังทำให้ความเครียดในใจลดลงด้วย


          ทุกวันนี้ในอเมริกา มีคนวัยผู้ใหญ่มากกว่า ๑๐ ล้านคน ที่นั่งสมาธิเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิในแบบพุทธ ฮินดู เต๋า หรือการสวดภาวนาในแบบคริสต์ ซึ่งตัวเลขดังกล่าว เพิ่มขึ้นจากเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วถึงเท่าตัว ขณะเดียวกันชั้นเรียนการนั่งสมาธิ ก็เต็มไปด้วยนักเรียนที่มาจากทุกชนชั้นอาชีพ ไม่เฉพาะแต่คนที่ฝักใฝ่ในทางธรรมเท่านั้น หากยังรวมไปถึงนักกฎหมาย และคนทำงานออฟฟิศทั่วไปด้วย


         ในปัจจุบัน การนั่งสมาธิ ไม่ได้เป็นเรื่องยากลำบาก ถึงขั้นต้องบุกป่าฝ่าดงเพื่อฝากตัวเป็นสาวกท่านมหาฤาษีเหมือนในสมัยก่อน ว่ากันจริงๆ แล้ว การนั่งสมาธิกลายเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยงแล้วด้วยซ้ำ ตามโรงเรียน โรงพยาบาล สำนักงานกฎหมาย หน่วยงานราชการ สำนักงานบริษัท และแม้แต่ในเรือนจำ


         การนั่งสมาธิ กลายเป็นหัวข้อวิชาในหลักสูตรโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของข้อแนะนำของฟิลแจ็คสัน โค้ชทีมแอลเอ.เลเกอร์ส ส่วนที่มหาวิทยาลัยมหาริชชี (หรือมหาฤาษี) ในเมืองแฟร์ฟิลด์ รัฐไอโอวา นักเรียน นักศึกษาของที่นี่ จะนั่งสมาธิร่วมกันทุกวันๆๆ ละ ๒ ครั้ง ขณะที่ศูนย์ชัมบาลา เมาน์เทน ในโคโลราโด ซึ่งดูเหมือนสถานกาสิโนในสไตล์ทิเบต มีคนมาใช้บริการเพิ่มขึ้นจาก ๑,๓๔๒ คน ในปี ๒๕๔๑ เป็น ๑๕,๐๐๐ คน ในปีนี้


          ดารา นักการเมือง และผู้มีชื่อเสียงจำนวนมากในอเมริกาหันมานั่งสมาธิอย่างจริงจัง อาทิ โกลดี้ฮอว์น ดาราสาวใหญ่ที่ยังสวยไม่สร่าง, ชาไนยา ทเวน นักร้องคันทรีสาวสวย, ฮีทเธอร์ แกรมห์ ดาราสาวหุ่นเซกซี่, ริชาร์ด เกียร์ นักแสดงมากฝีมือ และ อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดี ซึ่งเกือบๆ จะได้เป็นประธานาธิบดี ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา


          ขณะที่การนั่งสมาธิกลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้น รูปแบบและวิธีการของมัน ก็ถูกทำให้เรียบง่าย และตัดส่วนที่เป็นเรื่องลี้ลับออกไปด้วย ทุกวันนี้ การนั่งสมาธิไม่จำเป็นต้องมีการจุดธูปเทียน หรือพิธีกรรมเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังคงส่วนที่เป็นแก่นสำคัญอยู่ คือ ความเชื่อที่ว่า การนั่งเงียบๆ เป็นเวลา ๑๐-๔๐ นาที โดยให้ใจจดจ่ออยู่กับรูปภาพ ถ้อยคำหรือแม้แต่ลมหายใจ จะทำให้คุณเกิดสมาธิที่อยู่กับภาวะปัจจุบัน โดยไม่วอกแวกไปกับอดีตที่ผ่านไปแล้วหรืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง รวมทั้งทำให้คุณสามารถเข้าสู่สัจธรรมได้



          ความนิยมในการนั่งสมาธิที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นแค่กระแสในทางวัฒนธรรมเท่านั้น หากยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์ด้วยเนื่องจากแพทย์หลายคนแนะนำว่า การนั่งสมาธิช่วยป้องกัน หรืออย่างน้อยก็ยับยั้งความเจ็บปวดจากโรคเรื้อรัง อย่างเช่น โรคหัวใจ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เอดส์) และโรคมะเร็ง นอกจากนี้ การนั่งสมาธิ ยังเป็นสิ่งที่แพทย์แนะนำให้ทำ เพื่อแก้อาการทางจิต อาทิ ภาวะซึมเศร้า (depression) ภาวะไฮเปอร์แอคทีฟ (hyperactivity) และอาการสมาธิสั้น(attention deficit disorder)
การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องการนั่งสมาธิ มีขึ้นเป็นครั้งแรก ในช่วงทศวรรษ ๒๕๐๐-๒๕๑๐ ซึ่งได้ผลลัพธ์ยืนยันว่า
การนั่งสมาธิทำให้จิตใจ "อยู่กับปัจจุบัน" อย่างแท้จริง
ในอินเดีย นักวิจัยชื่อ พี.เค.อนันต์ พบว่า บรรดาโยคีที่อยู่ในภาวะ "สมาธิ" จะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แม้ว่าจะถูกวัตถุร้อนแนบเข้าที่ต้นแขน ขณะที่ในญี่ปุ่น ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชื่อ ที.ฮิราอิ แสดงให้เห็นว่า ผู้นั่งสมาธิแบบ "เซน" จะอยู่ในภวังค์ จนไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังติดต่อกันนานถึงชั่วโมง



           ในปี ๒๕๑๐ ดร.เฮอร์เบิร์ท เบนสัน ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ จากฮาร์วาร์ด ใช้เครื่องมือแพทย์ ตรวจวัดการทำงานของร่างกาย ผู้นั่งสมาธิ ๓๖ คน พบว่าเมื่อคนเราอยู่ในภาวะสมาธิ ร่างกายจะใช้ออกซิเจนน้อยลง ๑๗%
ขณะที่อัตราการเต้นของหัวใจจะลดลง จากภาวะปกตินาทีละ ๓ ครั้ง ขณะที่คลื่นสมอง "เธต้า" อันเป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้น ในภาวะหลับสนิท จะเพิ่มสูงขึ้น


           เบนสัน สรุปว่า การนั่งสมาธิช่วยให้คนเรามีจิตใจที่สงบขึ้น และมีความสุขมากขึ้น
"
สิ่งที่ผมทำ" เบนสัน ระบุ "เป็นการอธิบายในทางวิทยาศาสตร์ ต่อเทคนิคที่คนเราได้เรียนรู้ และนำมาประยุกต์ใช้ ตั้งแต่เมื่อหลายพันปีที่แล้ว"


          การศึกษาเรื่อง การนั่งสมาธ ิเริ่มเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ เมื่อเดือน มี.ค ๒๕๔๓ เมื่อองค์ทะไล ลามะ ผู้นำจิตวิญญาณแห่งธิเบต ได้พบปะพูดคุยกับนักจิตวิทยา และนักวิทยาศาสตร์ด้านระบบประสาท ที่ธรรมศาลา ประเทศอินเดีย ซึ่งพระองค์เสนอให้มีการศึกษาเรื่อง ภาวะสมาธิ โดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ในการตรวจวัดคลื่นสมอง ซึ่งจะมีการหารือผลของการศึกษานี้ ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้


          สิ่งหนึ่งที่วงการวิทยาศาสตร์ได้เรียนรู้ ก็คือการปฏิบัติสมาธิในระยะหนึ่ง จะทำให้ระบบประสาทในสมอง ปรับตัวให้เข้ากับกิจกรรมในสมองส่วนตัว ซึ่งเป็นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การคิดโดยใช้เหตุผล การตระหนักรู้ และการควบคุมอารมณ์มากขึ้น
"
การศึกษาวิจัยในช่วง ๓๐ ปีที่ผ่านมา ทำให้เราพบว่า การนั่งสมาธิ เป็นยารักษาอาการเครียดได้ชะงัดนัก" แดเนียล โกลแมน ผู้เขียนหนังสือ Destructive Emotions ซึ่งรวบรวมบทสนทนาระหว่างองค์ทะไล ลามะ กับคณะนักประสาทวิทยากล่าว "แต่ที่น่าตื่นเต้นกว่านั้น ก็คือ นั่งสมาธิ ยังช่วยปรับสภาพจิตใจและสมองได้อีกด้วย"


          ทั้งนี้ ผลการวิจัย ซึ่งรวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน พบว่า การนั่งสมาธิทำให้สมองกลับมาอยู่ในสภาพ "สด-ใหม่" รวมถึงขจัดอาการ "ปัญหาจราจรติดขัด" ในเส้นเลือด หรืออาการเส้นเลือดอุดตัน และที่สำคัญ ต้นทุนในการนั่งสมาธิ ซึ่งใช้เพียงแค่เบาะรองนั่งใบเดียว ก็ถูกกว่าการผ่าตัดใหญ่หลายเท่าตัว


          "การนั่งสมาธิเป็นเหมือนการเติมน้ำมันให้กับสมอง" โรเบิร์ท เธอร์แมน ผู้อำนวยการสถาบันทิเบต เฮาส์ กล่าว "การนั่งสมาธิในแบบเอเซีย อาจเป็นวิธีที่เป็นธรรมชาติที่สุด"
          "อีกอย่างที่ผมอยากจะเสนอ ก็คือเราควรแยกออกจากกัน ระหว่างการนั่งสมาธิกับการนับถือศาสนาพุทธ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาหรือความเชื่อแบบใด คุณก็สามารถนั่งสมาธิในแบบพุทธได้" เธอร์แมน กล่าว..

การนั่งสมาธิเป็นศาสตร์เก่าแก่เกือบจะพอๆ กับประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับศาสตร์ของโลกตะวันออก


ยุคก่อนประวัติศาสตร์ -ความเชื่อของพ่อมดหมอผี
          ไม่มีใครรู้แน่ว่า การนั่งสมาธิเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ แต่คาดว่า น่าจะมีขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายพันปีที่แล้ว และอาจเป็นพิธีกรรมที่จำกัดเฉพาะพ่อมดหมอผี หรือคนที่เชื่อว่ามีอำนาจติดต่อกับโลกวิญญาณที่คนทั่วไปมองไม่เห็น


๒๐๐๐-๓๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล-ศาสนาพราหมณ์
          การนั่งสมาธิมีกล่าวถึงในคัมภีร์พระเวทของศาสตร์พราหมณ์ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาฮินดูนับตั้งแต่นั้นมา


๕๘๘ ปีก่อนคริสตกาล-ศาสนาพุทธ
          หลังจากนั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์ เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงบรรลุนิพพานเข้าถึงสัจธรรมของศาสนาพุทธ ทำให้การนั่งสมาธิกลายเป็นส่วนสำคัญของศาสนาพุทธทุกนิกาย


คริสต์ศตวรรษที่ ๒ -ศาสนาคริสต์
          บาทหลวงชาวคริสต์ที่เรียกตัวเองว่า เดสเสิร์ท ฟาเธอร์ หรือคุณพ่อแห่งท้องทะเลทราย ปลีกวิเวกจากสังคมเมือง และใช้การทำสมาธิในรูปของการสวดภาวนา เป็นหนทางเข้าใกล้พระเจ้า นับจากนั้นเป็นต้นมา การทำสมาธิ ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาคริสต์


คริสต์ศตวรรษที่ ๒ -ศาสนายิว
          นิกายบาลิสติค อันเป็นนิกายลึกลับของศาสนายิว ให้ความสำคัญกับการทำสมาธิ เพื่อติดต่อสื่อสารกับพระเจ้า


คริสต์ศตวรรษที่ ๒ -ศาสนาอิสลาม
          ในช่วงเวลาเดียวกัน ชาวมุสลิมนิกายซูฟี ทำให้การทำสมาธิ เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนา


ค.ศ.๑๙๖๗ หรือ พ.ศ. ๒๕๑๐โยคะตามแบบมหาริชชี

 

(http://www.newsfinder.org/site/more/more_about_meditation/> 

          ในสหรัฐอเมริกา คนอเมริกันกว่าสิบล้านคนนั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ เป็นสองเท่าของสิบปีก่อน สถานที่หลายแห่งในสหรัฐอเมริกา เช่น ที่นิวยอร์กเปลี่ยนเป็นที่นั่งสมาธิหลายแห่ง จนคนเรียกแถบนั้นว่าเป็นแถบของ "ชาวพุทธ" นักเรียนนั่งสมาธิก่อนเข้าห้องเรียนทุกเช้า นักกฎหมาย นักธุรกิจ คนทำงานสาขาอาชีพต่าง ๆ นั่งสมาธิตามที่หน่วยงานของตนจัดให้นั่งอย่างสม่ำเสมอ ดาราภาพยนตร์ นักการเมือง นักเขียน ต่างก็นั่งสมาธิ แม้แต่นักโทษในคุกก็มีห้องนั่งสมาธิ ผู้พ้นโทษมาแล้วจะกลับเข้าคุกน้อยกว่าพวกที่ไม่ได้นั่ง คนไม่เชื่อเรื่องสมาธิกลายเป็นคนกลุ่มน้อยในสหรัฐอเมริกาไปเสียแล้ว คนเหล่านี้นั่งสมาธิ เพราะสมาธิทำให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย สุขภาพดีขึ้น ชีวิตดีขึ้น ทำให้สร้างความสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้น

ดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งาน


การนำสมาธิมาประยุกต์ใช้เชิงสุขภาพและการศึกษาทางคลินิก      


    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีความสนใจในเรื่องการทำสมาธิกับการแพทย์เชิงจิตวิทยา
 
(
Venkatesh et al.,1997; Peng et al.,1999; Lazar et al.,2000; Carol et al., 2001) แนวคิด

ในเรื่องสมาธิได้ถูกนำมาใช้ในเชิงคลินิกเพื่อที่จะวัดประสิทธิผลของระบบต่าง ๆ ที่เกิด

ขึ้นจากการทำสมาธิในร่างกายมนุษย์ เช่น ระบบหัวใจและหลอดเลือด และระบบการ

หายใจ ระยะหลังมีการพยายามนำสมาธิมาใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ต่อมา

สมาธิได้ถูกผลักดันเข้าสู่ระบบการดูแลสุขภาพในเรื่องการลดความเครียด ความเจ็บ

ปวด เช่น ในปี พ.ศ.
1972 ได้มีการนำการทำสมาธิแบบ TM
มาใช้เพื่อลดภาวะการเผา

ผลาญพลังงาน การลดชีวะเคมีในกระแสเลือดอันเนื่องมาจากความเครียด ได้แก่สารแล

คเตต (
Lactate)
การลดอัตราการเต้นของหัวใจ และการลดความดันโลหิต รวมทั้งการ

เหนี่ยวนำคลื่นสมองที่จำเป็น (
Scientific American 226:84-90 (1972)) 
     

    
     ในแง่มุมของการลดความเครียด สมาธิมักถูกใช้ในโรงพยาบาลในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง

และผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพื่อลดความเครียดหรือความวิตกกังวล รวมทั้งผู้ป่วยที่มีภาวะ

ลดลงของภูมิคุ้มกันในร่างกาย จากการศึกษาของ ดร.เฮอร์เบิรต เบนสัน สถาบัน

จิตวิทยา ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาด และโรงพยาบาลบอสตัน พบว่าการทำสมาธิทำให้เกิด

การเลี่ยนแปลงสารเคมีบางอย่างในร่างกาย จนทำให้เกิดระยะของการผ่อนคลาย

(
Lazer et al.,2003) โดยระยะผ่อนคลายทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการเผาผลาญใน

ร่างกาย
การเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต และสื่อเคมีในสมอง นอกจากนี้จากการวิจัย

อื่นเช่น จอน กาเบตซินและคณะ ในมหาวิทยาลัยแมตซาจูเซต พบว่าผลของการทำ

สมาธิช่วย
ลดความเครียดได้ (Kabat-Zinn et al., 1985;Davidson et al.,2003)

ให้เรตสมาชิก: 3 / 5

ดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งาน

        
        
ถ้าพูดถึงเรื่องผลกระทบของการใช้คอมพิวเตอร์กับมนุษย์ ยุคที่เทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทกับ

ชีวิตมนุษย์มากขึ้น และการพัฒนาของคอมพิวเตอร์นั้น มีความรวดเร็วมาก และมีประสิทธิภาพเทียบเท่า หรือดีกว่าการทำ

งานของมนุษย์ ซึ่งเห็นได้ว่าในต่างประเทศใช้หุ่นยนต์มาทำงานแทนมนุษย์ ในอนาคตคาดว่ามนุษย์อาจตกงาน เพราะหุ่น

ยนต์ทำงานได้ดีกว่า ไม่มีเหนื่อย และไม่เสี่ยงอันตรายเหมือนกับการ
ใช้มนุษย์ ถ้าแบ่งผลกระทบการใช้คอมพิวเตอร์กับ


มนุษย์ จะแบ่งได้
2 อย่าง คือ ผลกระทบทางตรง ผลกระทบทางอ้อม



        ผลกระทบทางตรง เริ่มในเรื่องอวัยวะของมนุษย์ สิ่งที่สำคัญในการใช้คอมพิวเตอร์ คือ ตา เมื่อเราใช้

คอมพิวเตอร์ไปนานๆ หรือเพ่งจอมากๆจะทำให้รู้สึกว่าปวดตา อาจทำให้สายตามีปัญหา เช่น สายตาสั้น ส่วน

ใหญ่ผู้ที่ทำงานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นประจำ หรือคนที่เล่น
เกม ซึ่งเด็กนักเรียนนักศึกษาเล่นกันมาก บาง

ครั้งการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ถ้าเล่นจนเกินขอบเขต เกินความพอดี อาจเป็นอย่างที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่ามีนัก

ศึกษาเล่นเกมจนช็อตตายคาร้านอินเตอร์เน็ต


 

        การใช้คอมพิวเตอร์นานๆ เมื่อไหร่จะพักสายตา ตรงนี้อาจจะสังเกตจากตาของเราว่าเมื่อใช้ไปนานๆ จะเริ่ม

ปวดตาควรจะหยุด โดยละสายตามองทางอื่น หรือลุกขึ้นไปเพื่อผ่อนคลายก่อน แล้วจึงลงมานั่งทำงานต่อ อย่า

ฝืนมากเกินไปอาจจะเป็นผลเสียกับตัวเอง อาจจะมองเห็นเป็นภาพเบลอๆ แต่เป็นอาการชั้วคราว สาเหตุก็เกิด


จากรังสีออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ อาการที่เกิดขึ้นจากการมองจอภาพเป็นเวลานานๆ นี้เรียกว่า


Computer Vision Syndrome (CVS)


 

        การเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของสุขภาพ (Health Risks) รศ.นพ.กำจรตติยกวี ผู้อำนวยการศูนย์


สารสนเทศทางการแพทย์เพื่อประชาชนจุฬาลงกรมหาวิทยาลัย กล่าวว่าอาการที่เกิดจากการนั่งทำงานอยู่หน้า


เครื่องนานๆ ทางการแพทย์เรียกว่า
Repetitive Strain Injury หรือ RSI อาการนี้จะเกิดขึ้นจากการที่คนเรานั่งทำ


งานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์แบบไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น เอามือวางไว้บนคีย์บอร์ด สาเหตุที่ทำให้เกิด
RSI นั้น


ปกติเราจะวางมือแบบธรรมดา มือของคนเราจะอยู่ในระดับเส้นตรงขนานกับพื้น


 

        สรุปได้ว่า RSI นั้น สามารถเกิดได้ทุกส่วนของรางกาย ตั้งแต่แขน ข้อมือ ข้อนิ้ว แผ่นหลัง ต้นคอ หัวไหล่


และสายตา หากปล่อยไว้นานๆ อาจต้องผ่าตัดเอ็น แม้ปัจจุบันมีบริษัทที่ได้พยายามผลิตเครื่องป้องกันอันตราย


จากคอมพิวเตอร์ ที่มีผลต่อร่างกาย
เช่น ทำให้เมาส์มีขนาดเหมาะมือ ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป

นอกจากนี้ยังมีการคิดค้นเพื่อสร้างโต๊ะวาง
คอมพิวเตอร์และเก้าอี้นั่งพิมพ์ให้เหมาะสมกับร่างกาย
ในเมืองไทยยัง

ไม่มีใครเป็น
RSI
และเกิดอาการเส้นเอ็นอักเสบจนถึงขั้น ต้องผ่าตัด แต่การผ่าตัดเส้นเอ็น ที่พบส่วนใหญ่จะเกิด

จากเรื่องของการเล่นกีฬามากกว่า สำหรับ
RSI ที่เกิดในประเทศไทยยังไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่


 

        ในอเมริกาอาการของโรค RSI เป็นอันดับหนึ่งในส่วนของโรคที่เกิดจากการทำงาน มีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นใน


แต่ละปี ประมาณ
300,000 คน อัตราการเจริญเติบโตเพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี ประมาณ 20% พนักงานต้องขาด


งานโดยเฉลี่ย
30 วันทำงานต่อปี



        แม้ขณะนี้ RSI จะยังไม่ใช่ปัญหาของสังคมไทยในอนาคตคาดว่าคนไทยจะมีเปอร์เซ็นต์จากอาการเจ็บป่วย เมื่อใช้คอมพิวเตอร์นานๆ

มากขึ้นเพระมีการใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นนั้นเอง

ดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งาน
สูตรลดหน้าท้อง พร้อมล้างพิษไปในตัว

ส่วนผสม
1.
โยเกิร์ตรสจืด ครึ่งถ้วย
              2.
นมสดรสจืด 1 กล่อง
              3.
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
              4.
มะนาว 1 ลูก

วิธีทำ
นำส่วนผสมทั้งหมดผสมให้เข้ากันชิมรสตามใจชอบ

วิธีการดื่ม
ต้องดื่มตอนเช้า มื้อเดียวก่อนอาหาร มื้ออื่นไม่เห็นผล
(สำหรับท่านที่ต้องการเพิ่มน้ำหนักให้ทานตอนบ่ายหรือเย็น)
มะนาวก็ควรบีบแล้วกินทันที เพื่อรักษาคุณสมบัติวิตามินซีไว้ และควรดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว จะเห็นผลดียิ่งขึ้น

สรรพคุณ
ไม่ใช่ยาลดน้ำหนักโดยตรง แต่จะปรับธาตุ ล้างพิษในลำไส้ ล้างไขมัน

กินวันแรกๆ จะ เห็นเลยว่าอุจจาระจะเป็นสีดำ และไล่ลมในกระเพาะดีมาก ระยะต่อมา เมื่อลำไส้และกระเพาะอาหารในร่างกายปรับตัวได้กับอาหารที่กินแล้วจะเข้าสู่ ภาวะปกติ แต่ต่อมาจะมีความรู้สึกว่าหน้าท้องยุบลงไปเรื่อยควรกินทุกเช้าติดต่อกันทุกวัน

โทษของไขมัน
ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหารตับม้ามให้ดูดซึมบกพร่องเป็นเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ดังนี้

1.
ถุงน้ำดี ทำให้นอนไม่หลับ อารมณ์ฉุนเฉียว นิ่วในไต สายตาเสื่อม ปวดเมื่อยตามร่างกาย

2.
เลือดเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้มึนศรีษะ

3.
ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลงและเป็นคนขี้หนาว

4.
ม้ามชื้น ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมันเป็นผลทำให้อ้วนง่าย

5.
ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่ายเพราะม้ามไปเบียดปอด

6.
ถ้าไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะทำให้ลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ เป็นผลทำให้เป็นหวัดในตอนเช้าหรือหวัดเรื้อรัง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้

7.
ถ้าไขมันในตับสูง การสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก ฉะนั้นการดื่มตามสูตรนี้ นอกจากช่วยลดหน้าท้อง ยังส่งผลให้อาการป่วยทั้ง 7 ประการนี้หายไปด้วย

ประโยชน์ของน้ำผึ้ง
จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียวและยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์
แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต

บอกเป็นภาษาโภชนาการมาพอสมควร เรามายกตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ กันดีกว่า ช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพ และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อยๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่างๆ ได้ ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป
ดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งาน

จันทรานมัสการ โยคะ สยบเครียด

 





(บน) ครูเล็กกับท่า Parivrtta Eka Pada Vakrasana
(ล่าง) บรรยากาศการฝึกโยคะ จันทรนมัสการ



บรรยากาศในคลาส จันทรนมัสการ


จันทรานมัสการ โยคะ สยบเครียด (มติชน)

         "ช่วงนี้ ไม่รู้เป็นไร เครียดจริงๆ ทั้งเรื่องงาน เงิน เพื่อน  ครอบครัว" ใครที่กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ควรหาวิธีบำบัดด่วน! โดยหนึ่งในวิธีที่ช่วยได้คือ การเล่นโยคะ ศาสตร์ที่เน้นการฝึกสมาธิ ไปพร้อมๆ กับการสร้างความเข้มแข็งให้ร่างกาย และผ่อนคลายจิตใจให้ปลอดโปร่ง

         "ครูเล็ก" วรรณวีร์ แสงชะอุ่ม ครูฝึกโยคะ ได้แนะนำท่าโยคะสยบเครียดด้วยท่าจันทรานมัสการ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่รู้สึกเหนื่อยหรือเพลียจากการทำงาน หงุดหงิด กังวล หดหู่ ซึมเศร้า กว่าปกติ

         "โยคะมีหลายแนวทางให้เลือกทำ เพื่อให้เหมาะสมกับร่างกายหรือภาวะจิตใจของผู้ฝึก แต่ความเชื่อหนึ่งที่เป็นจริงในหลักโยคะคือ ไม่ว่าจะฝึกในแบบไหน สิ่งที่ได้รับคือ สุขภาพที่ดีขึ้น และจิตใจที่ดีขึ้น" ครูเล็กชี้แจง

         สำหรับการฝึก "จันทรานมัสการ" นั้น ครูเล็กได้แนะนำคร่าวๆ ถึงการฝึกท่าไหนมีประโยชน์อย่างไร โดยเน้นท่าที่ให้ประโยชน์กับร่างกายครบทุกส่วน

บรรยากาศในคลาส จันทรนมัสการ

         "ท่ายืน" ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา ช่วยข้อต่อ เข่า และเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อท้องให้กระชับยิ่งขึ้น

         "ท่าบิดลำตัว" เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย การบิดกระดูกสันหลังจะช่วยบิดกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในช่องท้องต่างๆ เมื่อคลายท่า โลหิตจะถูกสูบฉีดกลับไปหล่อเลี้ยงและฟื้นฟูอวัยวะต่างๆ คลายความเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ คอ หลัง ไหล่ ขา สะโพก แก้ท้องผูก กรดในท้อง ลมในท้อง

         "ท่าโค้งตัว" โค้งแนวกระดูกสันหลัง และกลับบนลงล่าง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความแข็งแกร่งของกระดูกสันหลัง ข้อต่อ กล้ามเนื้อ ขา หัวไหล่ ช่องท้อง ลดความวิตกกังวล คลายเครียด ลดอาการหดหู่ กระตุ้นการทำงานของต่อมใต้สมอง กระตุ้นระบบฮอร์โมน และระบบย่อย ช่วยให้กล้ามเนื้อและอวัยวะภายในทำงานได้ดียิ่งขึ้น

         หากใครเครียด ลองหันมาฝึกโยคะดู อาจช่วยได้!!
ดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งาน

  

น้ำ

 

ระวัง! อาหารจะทำให้คุณขาดน้ำ (ชีวจิต)

 

          ผิดเสียแล้วถ้าคุณคิดว่าน้ำอัดลมเย็นๆ จะช่วยดับกระหายในช่วงอากาศร้อน

แทบบ้าอย่างนี้ได้ เพราะงานวิจัยชิ้นล่าสุดพบว่า อาหารฟาสต์ฟู้ดโดยเฉพาะเนื้อสัตว์

น้ำอัดลม อาหารหวานๆ และเครื่องดื่มคาเฟอีน จะทำให้ร่างกายเสียน้ำมากขึ้น

         
        
ดร.แกรี่ ไอ แวดเลอร์ นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค กล่าวว่า อาหาร|

หวานๆ และเครื่องดื่มคาเฟอีนอาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำได้อย่างที่เราเองไม่รู้

ตัว เพราะในน้ำอัดลมเต็มไปด้วยน้ำตาลจะทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่ม และแก๊ซที่ถูกอัดลม

เข้าไปก็จะยิ่งทำให้กระเพาะพองตัวออก จึงยิ่งรู้สึกอิ่มเข้าไปอีก ทั้งที่ความจริงแล้ว

ปริมาณน้ำที่รับเข้าไปไม่ได้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ

          นอกจากนี้ การกินเนื้อสัตว์มากจนเกินไป อาจทำให้ร่างกายได้รับโปรตีนล้น

เกิน จนเกิดผลกระทบต่อการทำงานของไต ทำให้ระบบการกำจัดของเสีย (ปัสสาวะ)

ออกจากไตทำงานหนักขึ้น เพราะร่างกายจะกำจัดโปรตีนส่วนเกินโดยการเผา

ผลาญให้เป็นพลังงาน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เนื่องจากจำเป็นต้องใช้พลังงาน

มากกว่าการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตหรือไขมันหลายเท่า


          ในระหว่างการเผาผลาญโปรตีน ร่างกายจะผลิตเกลือแอมโมเนียออกมา ซึ่งจะ

ถูกเปลี่ยนเป็นยูเรียในรูปของปัสสาวะ (ยูเรียถูกสร้างที่ตับแต่ถูกขับออกทางไต) และ

กระบวนการนี้จะทำให้ตับและไตเกิดอาการเครียด อาการที่อาจเกิดขึ้นก็คือร่างกาย

เหนื่อยล้า การกินเนื้อสัตว์มากเกินไปจึงมีส่วนทำให้ร่างกายขาดน้ำ โดยเฉพาะในเด็ก

ทารกและผู้สูงอายุ ถ้าร่างกายต้องใช้น้ำในการล้างและกำจัดยูเรียออก-มากจนเกินไป

อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

          การที่ร่างกายต้องขับของเสียออกมาปัสสาวะมากจนเกินไป อาจทำให้ร่างกาย

ต้องพลอยเสียแคลเซียมออกไป และกลายเป็นต้นเหตุของโรคกระดูกพรุนด้วย

          ดังนั้น เพื่อสุขภาพที่ดีสำหรับอากาศร้อนๆ เช่นนี้ ควรจะเลือกดื่มน้ำเปล่า

ซึ่งร่างกายจะบอกให้คุณ “พอ” เอง เมื่อร่างกายหยุดกระหาย รวมทั้งลดการกิน

เนื้อสัตว์ อย่างน้อยก็ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างสบายมากขึ้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก




ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

ดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งาน


เมื่อ...ความรู้สึกรับรส ผิดปกติ




เมื่อ...ความรู้สึกรับรส ผิดปกติ (อ.ส.ม.ท.)

         ผู้ป่วยบางรายมาหาหมอจีน บอกว่า รู้สึกขมคอ กินอะไรก็ไม่มีรสชาติ เป็นคน

หงุดหงิดง่าย นอนหลับไม่สนิท มักฝันร้ายเสมอๆ อุจจาระไม่มาก ถ่ายไม่หมด อุจจาระ

ไม่เป็นก้อน มีลักษณะเหนียว 


         ผู้ป่วยอีกรายหนึ่งมาหาหมอจีน ด้วยอาการ ความรู้สึกจืดชืดในรสชาติของ

อาหาร เบื่ออาหาร กินอะไรเข้าไปก็รู้สึกท้องอืด ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน กินยาลด

น้ำตาล กลัวความเย็น อ่อนเพลียไม่ค่อยมีแรง


         ยังมีผู้ป่วยบางราย บอกกับหมอว่า ในปากรู้สึกว่ามีรสในคอหวานๆ ตลอด

เวลา บางคนบอกว่ามีรสเค็ม บางคนบอกว่ามีรสเปรี้ยว บางคนมีรสฝาด



         ความรู้สึกเกี่ยวกับการรับรสชาติผิดปกติ ไม่ได้มีความหมายเฉพาะ ที่เกี่ยวข้อง

กับต่อมรับรสบนลิ้นผิดปกติเท่านั้น แต่มันยังสะท้อนความผิดปกติของร่างกายโดย

เฉพาะการทำงานของระบบย่อยและดูดซึมอาหารหรือระบบม้ามและกระเพาะอาหาร 

แต่ยังอาจรวมถึงอวัยวะภายใน (จั้งฝู่) อื่นๆ อีกด้วย


 ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้สึกรับรสกับอวัยวะภายใน


         ความรู้สึกรับรสผิดปกติ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการทำงานผิดปกติของ

ระบบม้ามและกระเพาะอาหาร แต่ยังเกี่ยวข้องกับอวัยวะภายในอื่นๆ อีกด้วย ใน

ทางคลินิกที่พบเห็นบ่อยๆ คือ
 
         1. ปากจืดชืดไม่มีรสชาติ ความรู้สึกรับรสอาหารลดลง บ่งบอกว่าอวัยวะม้าม

และกระเพาะอาหารพร่องและอ่อนแอ หรือมีความเย็นความชื้นตกค้าง อุดกั้นส่วนกลาง
(บริเวณกระเพาะอาหาร) 
 
         2. ปากรู้สึกหวาน ในปากในคอหรือน้ำลาย รู้สึกมีรสหวาน บ่งบอกกระเพาะ

อาหารและม้าม มีความร้อนชื้น หรืออ่อนแอพร่อง หรือพลังและยิ้นพร่อง
 
         3. ปากรู้สึกเหนียว หรือรู้สึกว่าน้ำลายหรือในคอเหนียวหนืด บ่งว่า  มีเสมหะ

ร้อน หรือความร้อนชื้น หรือความเย็นชื้นตกค้างในระบบม้ามและกระเพาะอาหาร
 
         4. ปากรู้สึกเปรี้ยว บางครั้งมีเรอเปรี้ยว หรือกินบูดเน่าของอาหาร บ่งบอก

ภาวะอาหารไม่ย่อย มักเกี่ยวข้องกับอาหารไม่ย่อย มีการตกค้างในกระเพาะอาหาร

พลังตับอุดกั้นทำให้ระบบย่อยทำงานไม่ดี (เครียดลงกระเพาะ) พลังตับอุดกั้นจนกลาย

เป็นไฟ หรือการทำงานของตับกับกระเพาะอาหารไม่กลมกลืน
 
         5. ปากรู้สึกขม เกี่ยวข้องกับไฟหัวใจ ลอยขึ้นส่วนบนหรือไฟร้อนของตับและ
ถุงน้ำดี
 
         6. ปากรู้สึกฝาด มักร่วมกับอาการแห้งของลิ้นและปาก บ่งบอกว่า มีความร้อน

แห้ง ทำให้สารน้ำในร่างกายถูกทำลาย หรืออวัยวะภายในร้อน ทำให้เกิดไฟย้อนขึ้นบน
เกิดความร้อนแห้ง
 
         7. ปากรู้สึกเค็ม เกี่ยวข้องกับไต เช่นภาวะไตยินพร่อง, ไตหยางพร่อง, และ
ภาวะบวมน้ำจากความร้อน หยางของไตน้อย

 
ความรู้สึกรับรสยังเกี่ยวข้องกับอายุ, อารมณ์, อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม

เช่น

         - ความรู้สึกรับรสของเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่มากกว่าคนสูงอายุ

         - ความรู้สึกรับรสตอนกลางคืน จะมากกว่ากลางวัน

         - ความรู้สึกของคนรับรสขณะที่มีอารมณ์โมโห, กลัว, เศร้าโศก หรือขณะอ่อน

เพลียมาก จะลดลงกว่าภาวะปกติ

         - คนที่ดื่มเหล้า, หิวจัดเกินไป, นอนไม่พอ, ก็มีผลกระทบต่อความรู้สึกรับรส


ความรู้สึกรับรสกับสุขภาพองค์รวม

    
   เมื่อพบว่ามีความรู้สึกรับรสผิดปกติ ที่ไม่ใช่ชั่วคราว (จากอาหารหรือยาที่กิน)

ควรพิจารณาร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น การนอนหลับ, อารมณ์, การถ่ายอุจจาระ, สีหน้า,

โรคพื้นฐานที่เป็นอยู่, และภาวะอื่นๆ เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาพิจารณาวิเคราะห์ ภาวะ

ความเสียสมดุลของร่างกาย ยินหยาง เลือดพลัง และภาวะ การตกค้างของๆ เสีย รวม

ถึงปัญหาของอวัยวะภายในจั้งฝู่ การรักษาโรคและปรับภาวะสมดุลภายใน ให้เข้าที่เข้า

ทาง ก็จะทำให้สามารถปรับภาวะความรู้สึกรับรสที่ผิดปกติให้หายได้
 




ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
daj.ne.jp

ที่มา 
samluangclinic

ให้เรตสมาชิก: 5 / 5

ดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งาน

นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 250

3 ผักผลไม้ดับกลิ่นปาก

   ปัญหากลิ่นปากนอกจากจะลดทอนความมั่นใจ ยังบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ต้องแก้โดยด่วน หากยังหาคำตอบ

ไม่ได้ว่าปัญหามาจากไหน ควรเริ่มแก้ที่อาหารการกินและการขับถ่ายเป็นเรื่องแรกๆ วันนี้เราหอบหิ้วผลไม้ไฟ

เบอร์สูงมาฝากค่ะ


   การกินอโวคาโดเป็นวิธีง่ายๆ อย่างหนึ่งค่ะ ที่ช่วยลดปัญหานี้ได้ เพราะเนื้อของอโวคาโดจะช่วยกำจัดอาหารที่

เน่าเสียตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของกลิ่นปากให้หมดไป


   นอกจากนี้ก็อยากให้ลองน้ำยาบ้วนปากสูตรเปรี้ยวซ่าแบบธรรมชาติดังต่อไปนี้ ส่วนผสมก็ไม่ยุ่งยากค่ะ มี น้ำ

คั้นจากขิงสด 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ช้อนชา น้ำอุ่น 1 แก้ว ผสมให้เข้ากัน กลั้วปากวันละครั้ง หลังแปรงฟันใน

ตอนเช้า

   ส่วนเรื่องการปรับระบบขับถ่ายให้สมดุลนั้น ตัวช่วยที่ดีที่สุด ก็คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

   สุขภาพดีต้องดูแลจากภายในค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

ดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งาน

 



ข้อคิดดีๆ
ในการเริ่มต้นออกกำลังกาย...

1.   เวลา
ก่อนอื่นหากตั้งใจว่าจากนี้ไปจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จงเริ่มต้น ด้วยการ แบ่งเวลาไว้สำหรับการออกกำลังกาย ตัวอย่างคิดง่ายๆ สัปดาห์หนึ่งมี 168 ชั่วโมง คุณต้องตั้งเป้าไว้เลยว่า เริ่มแรกคุณอาจ จะแบ่ง เวลาให้กับการออก กำลังกายไว้สัก 5 ชั่วโมง อาจจะเฉลี่ยเป็น วันละ 40 นาที แต่ข้อแม้ว่าต้องเคร่ง ครัดฝึกปฏิบัติให้ได้ แล้วเมื่อคุณ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นานไปก็อาจจะติดเป็น นิสัยเป็นส่วนหนึ่ง ของชีวิตไปเลย

2.งบประมาณ
อย่างที่กล่าวแล้วว่าการออกกำลังกายมีมากมายหลากประเภททั้งที่ ต้องเสียเงินเยอะ กับชนิดที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย แต่ถ้าอบอุ่นใจ ที่จะเป็นสมาชิกตาม ฟิตเนส คลับตามเพื่อนๆ ในกลุ่มก็ดีแต่ต้อง พยายามบังคับตัวเองว่าเสียเงินแล้ว ต้องไปใช้ บริการจริงๆ นอกจากนี้ ยังควร พิจารณาว่าสถานที่นั้นมีสมาชิก หนาแน่นจนคุณ ไปแล้วจะได้ รับความสะดวกเพียงไร และอย่าลืมว่าควรจะอยู่ใกล้บ้าน หรือที่ทำงาน เพราะจะได้ไม่ต้องเหนื่อย หรือเสียเวลากับการเดินทาง

3. ยอมรับในความสามารถและสมรรถนะของตัวเอง
ว่าออกกำลังกายได้เพียงไร อย่าหักโหมแต่ควรใจเย็นเข้าไว้แบบค่อย เป็นค่อยไป ให้ร่างกายได้ปรับตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากหยุดการ ออกกำลังกายมานาน แล้วมาเริ่มใหม่ ควรปรึกษาผู้ฝึกสอนก่อนเริ่มต้น จะเป็นการดียิ่ง

4.ตั้งมั่นในจุดมุ่งหมายให้หนักแน่น
ซึ่งจะส่งให้คุณมีแรงบันดาลใจ ที่จะมาออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ เช่น ตั้งใจจะบริหารให้กล้ามเนื้อแน่นขึ้น ให้แข็งแรงได้สัดส่วนขึ้น ลดน้ำหนัก ลดเฉพาะส่วน ฯลฯ

ออกกำลังกายตอนเช้าได้ประโยชน์อย่างไร

จากการวิจัยของชาวอเมริกันพบว่า มีมากกว่า 90% ของคนออกกำลังกาย จะออกกำลังกายตอนเช้า 1.เมื่อคุณออกกำลังกายตอนเช้า จะมีผลทำให้ร่างกาย เผาผลาญแครอลี่ มากกว่า ออกกำลังกายเวลาอื่น

2.เมื่อคุณออกกำลังกายตอนเช้า จะทำให้ร่างกาย กระฉับกระเฉงตลอดทั้งวันและจะไม่รู้สึกง่วงหงาวหาว นอนในระหว่างวัน

3. คนที่ออกกำลังกายตอนเช้าเป็นประจำ จะทำให้เขา ไม่รู้สึกหิวมาก และยังทำให้ควบคุม น้ำหนักได้ดีอีกด้วย คนลักษณะนี้จะมีหุ่นที่คงที่

4.เมื่อคุณออกกำลังกายตอนเช้าเป็นประจำ จะทำให้ร่ายกาย ของคุณ เตรียมตัว รับ การออกกำลังกายขอคุณ จะทำให้ คุณ ตื่นนอน เป็นเวลา และ จะไม่รู้สึก ง่วงนอนเลย

5.การออกกำลังการตอนเช้า จะทำให้สมองปลอดโปร่ง

6.การออกกำลังการตอนเช้า จะทำให้ คุณ หลับสบายในตอนกลางคืน

7.การออกกำลังกายตอนเช้า จะทำให้เลือดลม ดี

8.การออกกำลังกายตอนเช้า จะไม่ทำให้คุณเสียเวลามากนัก

การออกกำลังกายตอนเช้า เป็นสิ่งดี จะทำให้คุณรู้สึกดี คุณควรจะลองดู

 

ค้นหา

ยอมรับเงื่อนไข ข้อมูลส่วนบุคคล