สุขภาพนักสร้างบารมี
- รายละเอียด
- ฮิต: 5219
รู้หรือไม่ว่า
ผักโขมสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตาได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน....
จักษุแพทย์ สตีเวน จี แพรตต์ แห่งโรงพยาบาลสคริปป์เมโมเรียล ในแคลลิฟอร์เนีย พบว่า
ในผักโขม จะมีสาร ลูทีน และ สารเซอักแซนทิน อยู่เป็นจำนวนมาก โดย สารแคโรทีนอนด์
ทั้งสองนี้ จะมีสรรพคุณช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนอายุ 65 ปี
ขึ้นไป อาจสูญเสียการมองเห็นได้
บรอกโคลีและผักโขม ช่วยป้องกันอัลไซเมอร์
สุขภาพดีวันนี้ ขอนำไปพบกับเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับสุขภาพ ที่มาจากการวิจัยในต่างประเทศกันสักหน่อย เพราะมีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของ ผัก 2 ชนิดคือ "บรอกโคลี" และ "ผักโขม" สามารถช่วยในเรื่องความทรงจำของผู้หญิงที่สูงวัย และป้องกันไม่ให้เกิดโรคอ้วนทั้งในผู้ชายและ ผู้หญิงในช่วงวัยกลางคนได้ ขณะเดียวกันยังมีผลในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ อีกด้วย
วิจัยสุขภาพระยะยาวในพยาบาลจำนวน 13,388 คน โดยทำการเปรียบเทียบผลจากแบบสอบถาม เกี่ยวกับนิสัยการรับประทานอาหารตลอดช่วงเวลามากกว่า 10 ปี ตั้งแต่อายุในช่วง 60 ปีถึงเข้าสู่ ช่วง 70 ปี พบว่า หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปที่มีนิสัยชอบรับประทานผักทั้งประเภทดอกและผัก ใบเขียว เช่น บรอกโคลี ผักโขม ดอกกะหล่ำและผักกาด มากกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ นั้น พบว่า เมื่อมีอายุ เข้าสู่ช่วง 70 ปี ผลคะแนนการทดสอบทางด้านความจำ ทักษะทางด้านการพูดและการทดสอบ ความสนใจจะลดน้อยกว่าผู้ที่รับประทานผักน้อย
นำเสนอในการประชุมนานาชาติครั้งที่ 9 เรื่องโรคอัลไซเมอร์และความผิดปกติที่เกี่ยวข้องที่เมืองฟิ ลาเดเฟียว่า ผู้ที่อยู่ในวัยกลางคนที่เป็นโรคอ้วนหรือมีภาวะโคเลสเตอรอล หรือมีความดันโลหิตสูง อย่างใดอย่างหนึ่ง จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่ง ในผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วนร่วมกับภาวะโคเลสเตอรอลและความดันโลหิตสูงนั้น จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ถึง 6 เท่าเปรียบเทียบกับคนปกติ ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลงวิถีการดำรงชีวิต สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคความจำเสี่ยงได้
ประมาณ 50 ปี เมื่อพิจารณาในช่วงอายุอีก 21 ปีต่อมา หรือตอนที่มีอายุประมาณ 71 ปี พบว่า ผู้เข้า ร่วมการทดลองจำนวน 61 คน เริ่มมีอาการความจำเสื่อม ส่วนมากเป็นโรคอัลไซเมอร์ โดยที่มีความ เสี่ยงของการเป็นอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ในผู้ที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 30 มีโคเลสเตอรอลสู งกว่า 250mg% หรือมีความดันโลหิตสูงเกิน 140 มม.ปรอท ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยก่อนหน้านี้ ของ ดร.กุสตาฟซันที่รายงานว่า ผู้หญิงที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกินที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปนั้น มีความ เสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์
|
อุดมด้วยเหล็ก-แคลเซียมและวิตามินที่สำคัญ
เด็กทั่วไปไม่ชอบกินผัก แต่เด็กหลายคนจะเปลี่ยนใจมากินผักเมื่อเห็นการ์ตูน ป๊อบอายกินผักโขมเป็นประจำและมีร่าง
กายแข็งแรง
ในทางโภชนาการ ผักโขมมีเหล็กมาก เหล็กเป็นเกลือแร่ที่สำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง และเม็ด
เลือดแดงมีความสำคัญในการนำออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ร่างกายมีแรง ทำงานได้เต็มศักยภาพ
คนที่ขาดเหล็ก จะทำให้เลือดจาง เหนื่อยง่าย ดังนั้นการที่ป๊อบอายในการ์ตูนอาจโฆษณามากไปหน่อย เนื่อง
จากร่างกายจะดูดซึมเหล็กที่อยู่ในผักได้น้อยกว่าเหล็กที่ได้จากเนื้อสัตว์ อย่างไรก็ตามหากมีวิตามินซีร่วมอยู่ด้วย การดูด
ซึมเหล็กจะดีขึ้น
แต่ปัญหาอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับผักโขมก็คือ ปริมาณสารออกซาเลต โดยทั่วไปสารออกซาเลตจะจับกับเหล็กทำให้ได้สาร
ประกอบที่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมเหล็กได้ ดังนั้น การดูดซึมเหล็กที่มีในผักโขมจึงได้ไม่มากนัก
นอกจากนี้ผักโขมยังมีปริมาณแคลเซียมสูง แคลเซียมสามารถจับกับสารออกซาเลตได้เป็นสารประกอบที่ไม่ละลายน้ำ
สารประกอบแคลเซียมออกซาเลตมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคเกาต์และนิ่วในไต รวมทั้งนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
แม้ร่างกายจะมีข้อจำกัดเกี่ยวกับการดูดซึมเหล็กและแคลเซียมจากผักโขม แต่ผักโขมก็ยังเป็นผักที่น่าสนใจ
เพราะเป็นแหล่งสำคัญของ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี แมกนีเซียม โพแทสเซียม วิตามินบี-1 วิตามินบี-2 วิตามินบี-6
และสารแอนติออกซิแดนท์ที่สำคัญอีกหลายตัว
นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งที่ดีของกรดโฟลิค การต้มผักโขมจะทำให้สูญเสียปริมาณกรดโฟลิคมากกว่าการนึ่ง เมื่อพิจารณา
คุณค่าทางโภชนาการของผักโขมแล้ว จะเห็นได้ว่า ผักโขมมีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะน้ำผักโขม ซึ่งมีการกล่าวอ้าง
ว่าสามารถป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
- รายละเอียด
- ฮิต: 3069
มะรุม พืชมหัศจรรย์ ที่มีคุณค่ามากมาย
ใครรู้จักต้นมะรุมบ้าง ยกมือขึ้น!หลายคนอาจเพิ่งเคยได้ยินชื่อต้นไม้ประหลาดนี้ เลยชวนให้สงสัยว่า มัน
คือ ต้นอะไร วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกัน รับรองว่า จะได้ทึ่งกับความมหัศจรรย์ของมันอย่างแน่นอน
"มะรุม" มีที่มา
"มะรุม" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืช
กำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ ต้นมะรุมพบได้
ทุกภาคในประเทศไทย ชื่อมะรุมนี้ เป็นคำเรียกของชาวภาคกลาง หากเป็นทางภาคเหนือจะเรียกว่า ผักมะค้อนก้อม
ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียก “ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม” ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียก “กาแน้งเดิง” ส่วน
ชานฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียก “ผักเนื้อไก่” เป็นต้น
ลักษณะต้นมะรุม
มะรุมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 3-4 เมตร ทรงต้นโปร่ง ใบเป็นแบบขนนก หรือคล้ายกับใบมะขาม
ออกเรียงแบบสลับกัน ผิวใบสีเขียว ด้านล่างสีจะอ่อนกว่าด้านบน ดอกออกเป็นช่อสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ ผล
หรือฝักมีความยาว 20-50 เซนติเมตร ลักษณะเหมือนไม้ตีกลอง เปลือกผล หรือฝักเป็นสีเขียวมีส่วนคอด และ
ส่วนมนเป็นระยะตามความยาวของฝัก ฝักแก่ผิวเปลือกเป็นสีน้ำตาล เมล็ดมีเยื่อหุ้มกลมเป็นสีน้ำตาล มีขนาด
เล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร
มะรุม เป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ต้องการน้ำ และความชื้นปานกลาง ขยาย
พันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ด และการปักชำ การปลูกการดูแลรักษาก็ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อนเกษตรกรจึงมักนิยมปลูก
มะรุมไว้ริมรั้วบ้านหรือหลังบ้าน 1-5 ต้น เพื่อให้เป็นผักคู่บ้านคู่ครัวแบบพอเพียงที่ไม่ต้องซื้อหา
คุณค่าทางอาหาร
ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นฤดูหนาว เพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม จึงหาได้ง่าย และมีรสชาติ
อร่อย เพราะสดเต็มที่ มะรุมสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายเมนู เช่น แกงส้มฝักมะรุม ฝักมะรุมอ่อนผัด
น้ำมันหอย ยำฝักมะรุมอ่อน ฯลฯ
ในต่างประเทศมีการค้นคว้า และวิจัยอย่างกว้างขวางที่จะนำพืชชนิดนี้มาใช้รักษาความเจ็บป่วยของ
มนุษย์ เนื่องจากมะรุมเป็นพืชที่มีธาตุอาหารปริมาณสูงมาก นั่นคือ
มีวิตามินเอบำรุงสายตามากกว่าแครอท 3 เท่า
มีวิตามินซีช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
มีแคลเซียมบำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
มีโพแทสเซียมบำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
มีใยอาหารและพลังงานไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก
นอกจากนี้น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุมมีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
มะรุม ยาวิเศษสารพัดโรค
ในคัมภีร์กล่าวไว้ว่า มะรุมเป็นพืชที่สามารถรักษาทุกโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคลำไส้
อักเสบ โรคปอดอักเสบ ฆ่าจุลินทรีย์ หรือเป็นยาปฏิชีวนะ และแต่ละส่วนของต้นมะรุมยังมีคุณสมบัติเฉพาะที่
สามารถใช้เป็นยาได้ ไม่ว่าจะเป็น
ราก มีรสเผ็ด หวาน ขม แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ
เปลือกจากลำต้น มีรสร้อน นำมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ผ้าห่อทำเป็นลูกประคบนึ่งให้ร้อนนำมาใช้ประคบ
แก้โรค ปวดหลัง ปวดตามข้อได้เป็นอย่างดี รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ
(ตัดต้นลมดีมาก) แพทย์ตามชนบท จะใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุรา
จะไม่รู้สึกเมา
กระพี้ แก้ไข้สันนิบาดเพื่อลม
ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและ
สารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก นอกจากนี้ยังมีการค้นพบว่า ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุม
ตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนา และประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหาร
พื้นบ้าน
ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ใช้ต้มทำน้ำชาดื่มช่วยให้นอนหลับสบาย
ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้
เมล็ด นำเมล็ดมะรุมมาสกัดน้ำมันสามารถใช้ทำอาหาร รักษาโรคปวดตามข้อ โรคเก๊า รักษาโรครูมาติซั่ม
และรักษาโรคผิวหนัง แก้ผิวแห้ง ใช้แทนยารักษาผิวให้ชุ่มชื้น รักษาโรคอันเกิดจากเชื้อรา
เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดี การรับประทานเนื้อในเมล็ด เป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย
ได้
นอกจากนี้กากของเมล็ดกากที่เหลือจากการทำน้ำมัน สามารถนำมาใช้ในการกรอง หรือทำน้ำให้
บริสุทธิ์เป็นน้ำดื่มได้ กากของเมล็ดมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นอย่างยิ่ง และยังสามารถนำ
มาทำปุ๋ยต่อได้อีกด้วย
เห็นสรรพคุณของต้นมะรุมอย่างนี้แล้ว ชักเปรี้ยวปาก อยากหาแกงส้มมะรุมมาทานเสียจริงๆ
- รายละเอียด
- ฮิต: 2462
มื้อเย็นเป็นมื้ออันตราย ....
เป็นมื้อตายผ่อนส่ง
ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ และอายุยืน .... คำตอบ คือ กินสายกลาง กินสายกลาง คือ กินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง + งดมื้อเย็น เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์ ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด เติมอีกครั้ง ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้ สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ มีไข่แดงหนัก 50 กรัม ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี่ ฉะนั้น 50 กรัม ให้พลังงาน 450 แคลอรี่ จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้ โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้ 1.3 ก.ก. ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน 60 รอบต่อนาที ขี่อยู่นาน 60 นาที จะเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลท่วมตัว แต่ใช้พลังงานไปเพียง 300 แคลอรี่ ไข่ใบเดียวใช้ไม่หมด ฉะนั้นถ้ากินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ โดย ตับเป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่างๆ ก็มากทำให้อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน เช่น ถ้าตันที่สมอง จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก ถ้าอุดตันที่ไต ต้องล้างไต เปลี่ยนไต ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร การกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง ยิ่งกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน การไม่กินอาหารมื้อเย็น เป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมากถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี อายุยืน และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ แต่ท่านต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน วิธีฝึกมี 4 วิธี 1. ค่อยๆ ลดปริมาณอาหารมื้อเย็นทีละน้อยๆ เช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน เหลือ1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน โดยมีข้อแม้ว่าหลังอาหารเย็น แล้ว ห้ามกินอาหารใดๆ ทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเ พาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ ต่อไปกินผักผลไม้ สุดท้ายงดอาหารเย็น 2. ร่นเวลากินอาหารเย็น เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น สุดท้ายงดอาหารเย็น 3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว 4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์ พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม. กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยงได้ทัน ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็น จึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน
|
- รายละเอียด
- ฮิต: 2704
อย่าเปิดเครื่องปรับอากาศ (แอร์) ทันทีที่คุณขึ้นรถ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณจอดรถตากแดดไว้ ให้เปิดหน้าต่างหลังจากขึ้นรถ และอย่าเปิดแอร์ทันที ตามผลการวิจัย แผงหน้าปัทม์ (คอนโซล) เบาะที่นั่ง และน้ำหอมปรับอากาศ จะสร้างสารเบนซีน ที่เป็นสารก่อมะเร็งขึ้น (อย่างที่คุณได้กลิ่นเหมือนพลาสติคจาง ๆ ในรถ "โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถใหม่" : ผู้แปล)
นอกจากเป็นสาเหตุให้เป็นมะเร็งแล้ว สารดังกล่าวยังเป็นพิษต่อกระดูก ทำให้เกิดโรคโลหิตจาง และลดจำนวนเม็ดเลือดขาว ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้เป็นโรคลูคีเมีย และอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์มารดาได้
ระดับของสารเบนซีนที่ยอมรับได้ในอาคาร / ในรถ คือ 50 มิลลิกรัม ต่อ ตา รางฟุต แต่ระดับของสารเบนซีนในรถที่จอดอยู่ในร่มมีค่าอยู่ที่ 400 - 800 มิลลิกรัม หากรถจอดอยู่กลางแจ้งที่มีอุณหภูมิสูงเกินกว่า 60 องศาฟาร์เรนไฮท์ (15.5 องศาเซลเซียส"ในเมืองไทยจอดในร่มอุณหภูมิก็สูงเกินแล้ว" : ผู้แปล) ระดับของสารเบนซีนจะสูงขึ้นถึง 2000 -4000 มิลลิกรัม คือสูงกว่าระดับที่ยอมรับได้ถึง 40 เท่า คนที่อยู่ในรถจะหายใจเอาสารพิษที่สูงเกินมาตรฐานดังกล่าวเข้าไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นจึงขอแนะนำว่าให้คุณเปิดประตู หน้าต่างรถ ไว้สักระยะเพื่อให้อากาศที่อยู่ในตัวรถออกมาก่อนจะเข้าไปนั่ง สารพิษที่ร่างกายคุณไม่สามารถขับออกได้โดยง่าย ซึ่งส่งผลร้ายต่อ ตับ ไต ไส้ พุง ("สองอันหลังเพิ่มเอง" : ผู้แ ปล) จะได้ลดปริมาณลง
"เมื่อใครบางคนแบ่งปันบางสิ่งที่มีค่ากับคุณ และคุณได้รับประโยชน์จากมัน คุณก็ควรจะแบ่งปันสิ่งนั้นให้กับผู้อื่นด้วย"
Especially when your car is parked under the scorching sun for hours midday ..............
Take-care !
Please note and circulate....
Do not turn on A/C immediately as soon as you enter the car!
Please open the windows after you enter your car and do not turn ON the
air-conditioning immediately. According to a research done, the car dashboard,
sofa, air freshener emits Benzene, a Cancer causing toxin (carcinogen- take note
of the heated plastic smell in your car). In addition to causing cancer, it poisons
your bones, causes anemia, and reduces white blood cells. Prolonged exposure
will cause Leukemia, increasing the risk of cancer may also cause miscarriage.
Acceptable Benzene level indoors is 50 mg per sq. ft. A car parked indoors with
the windows closed will contain 400-800 mg of Benzene. If parked outdoors
under the sun at a temperature above 60 degrees F, the Benzene level goes up
to 2000-4000 mg, 40 times the acceptable level... & the people inside the car will
inevitably inhale an excess amount of the toxins.
It is recommended that you open the windows and door to give time for
the interior to air out before you enter. Benzene is a toxin that affects your
kidney and liver , and is very difficult for your body to expel this toxic stuff.
"When someone shares something of value with you and you benefit from it,
you have a moral obligation to share it with others"
- รายละเอียด
- ฮิต: 2865
ข้าวโพดต้มสุก... ต้านมะเร็ง!
ตอนที่แม่เรากำลังรักษามะเร็งช่วงใกล้ๆหาย เริ่มจะทานอาหารได้ เค้าจะกินข้าวโพดต้มทุกวัน ไปเหมาจาก
Supermarket ทุก week แล้วเค้าก็ ฟื้นตัวเร็วมาก ช่วงนั้น ลิ้นเค้าจะ Anti เนื้อสัตว์ กลืนไม่ลง ทานได้แต่ผักกะ
ผลไม้ และจะอยากกิข้าวโพดทุกวัน ข้าวโพดสุก ต้านมะเร็ง การแทะข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็งมีสารตัวล้าง
พิษมากกว่าผักผลไม้
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่าข้าวโพดหวานที่
ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด
เขา เผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน ว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป สู้กิน
ดิบๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะเสียวิตามินซีไป เขาได้พบใน
การต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่ง
ต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูล อิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์
ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชรา ต่างๆ อย่างเช่นต้อกระจก และโรค
สมองเสื่อมอีกด้วย
คณะ นักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่าง
กายยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรด เฟรุลิกเป็นพวก พฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้ มีอยู่ไม่
มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดผสมปนเปรวมอยู่กับอย่างอื่น การทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มัน
ปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น
- รายละเอียด
- ฮิต: 2196
วิธีสังเกตอาการเส้นเลือดแตกในสมองคร่าวๆ
มีเพื่อนคนหนึ่ง หกล้ม ในงานบาบีคิวปาร์ตี้ เพื่อนในงานแนะให้ไปหา
หมอ แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นไร เพียงแต่ใส่รองเท้าใหม่แล้วสะดุดเท่านั้น
อิงอิงยืนไม่ค่อยมั่นคง เพื่อนๆ ช่วยปัดเป่าเสื้อผ้าให้ แล้วยกอาหารจานใหม่ให้
ร่วมสนุกกันต่อ หลังจากนั้น ผู้สามีแจ้งมาว่า อิงอิงถูกส่งเข้าโรงพยาบาล แต่แล้วก็
เสียชีวิตตอน 6 โมงเย็น ถ้าหากเพื่อนๆ รู้จักวินิจฉัยอาการโรค ป่านนี้อิงอิงอาจยัง
มีชีวิตอยู่กับเพื่อนๆ บางคนเส้นโลหิตในสมองแตก อาจไม่ตาย แต่ก็อาจเป็น
อัมพฤกษ์หรืออัมพาต
แพทย์ทางประสาทวิทยากล่าวว่า หากผู้ป่วยถึงมือแพทย์ภายใน 3 ชม. ก็จะมี
โอกาสรอด
วิธีวินิจฉัยอาการ
ถ้าคนข้างเคียงไม่รู้จักวินิจฉัยอาการ สมองผู้ป่วยก็จะถูกทำลายอย่างร้าย
แรง
แพทย์แนะว่า คนข้างเคียงเพียงแค่ทดสอบผู้ป่วยด้วย 3 ข้อ ก็สามารถวินิจฉัย
อาการได้
โปรดจำเคล็ดลับ STR ดังต่อไปนี้
S:(smile) -> ให้ผู้ป่วยยิ้ม
T:(talk) -> ให้ผู้ป่วยพูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์ เช่น วันนี้
อากาศสดใส ดีจัง
R:(raise) -> ให้ผู้ป่วย(ยก)ชูแขนสองข้างขึ้น
อาการอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม ให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออก ถ้าลิ้นม้วน
หรือเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ใช่แล้ว ส่อ! อาการอันตราย
ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปรกติข้อใดข้อหนึ่ง ให้รีบแจ้ง1669 และเล่าอาการให้ผู้รับ
สายฟัง
- รายละเอียด
- ฮิต: 4378
กับดักสุขภาพ10 ประการ ที่คนไทยไหลหลง
โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล
พูดถึงสุขภาพ ใครๆก็รักสุขภาพกันทั้งนั้น แต่ครั้นถึงเรื่องราวของการเอาใจใส่สุขภาพนี่ซิ บางทีก็หลงไปกับ
บางกรรมวิธี ซึ่งแทนที่จะให้คุณ กลับให้โทษ หรือทำให้เสื่อมสุขภาพลงกว่าเดิม
สารบัญ กับดักสุขภาพประการที่ 1 | ดื่มน้ำยิ่งมาก ยิ่งดี |
กับดักสุขภาพประการที่ 2 | นอนดึก ตื่นสาย |
กับดักสุขภาพประการที่ 3 | กลัวโคเลสเตอรอล จนไม่กล้ากินไข่ แต่ไพล่ไปดื่มนม |
กับดักสุขภาพประการที่ 4 | ไม่กินไขมันเลย เพราะกลัวอ้วน |
กับดักสุขภาพประการที่ 5 | กินผลไม้จนล้นเกิน น้ำตาลขึ้น ไขมันสูง |
กับดักสุขภาพประการที่ 6 | ถือเอาวิตามิน อาหารเสริม เป็นคำตอบสุขภาพ |
กับดักสุขภาพประการที่ 7 | กินสมุนไพร คิดว่าปลอดภัยเสมอไป |
กับดักสุขภาพประการที่ 8 | ไปฟิตเนส แต่เสียเงิน เสียสุขภาพ |
กับดักสุขภาพประการที่ 9 | สวนกาแฟ แก้ได้ทุกโรค |
กับดักสุขภาพประการที่ 10 | กินอาหาร 5 หมู่ อาจป่วยง่าย ตายเร็ว |
กับดักสุขภาพประการที่ 1 - ดื่มน้ำยิ่งมาก ยิ่งดี
คนจำนวนไม่น้อยเชื่อกันว่า ให้ดื่มน้ำมากๆ ยิ่งมากยิ่งดี หลายคนถึงกับดื่มน้ำวันละ 3-4 ลิตร บางคนก็ร่ำลือ
กันว่า หมอจีนสอนให้ตื่นนอนเช้าดื่มน้ำทันที 4 แก้ว เพราะช่วยให้ขับถ่ายดี ก็เลยคิดต่อไปว่า ถ้าดื่มน้ำ 4 แก้วตอน
เช้ามีประโยชน์ขนาดนั้น ตลอดทั้งวันก็ควรดื่มให้มากที่สุด จนเรียกได้ว่า แค่นดื่ม กันเลยละ พวกเขาดื่มน้ำอย่างไม่
จำกัดจำนวน เพราะเชื่อว่าจะได้สุขภาพดี คนที่ดื่มน้ำมากเช่นนี้ นานเข้าจะเกิดอาการขึ้นอย่างหนึ่ง คือ เกิดอาการ
ปัสสาวะมาก ปัสสาวะใส มือเท้าเย็น หนาวง่าย นานเข้าจะเกิดภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง ขาอ่อนแรง และหย่อน
สมรรถภาพทางเพศ เหตุผลก็คือ ไตมิใช่เพียงท่อกลวงๆที่ปล่อยให้น้ำผ่านไปเฉยๆ แต่ไตมีหน้าที่เก็บรับเอาสิ่งที่ยัง
เป็นประโยชน์กับ ร่างกาย ที่ปัสสาวะชะผ่านไป ให้เก็บกลับเข้าสู่ร่างกาย ได้แก่เกลือแร่ชนิดต่างๆ ไตยังทำหน้าที่
ปรับความเข้มข้นของปัสสาวะให้พอเหมาะ ด้วยเหตุนี้การปล่อยน้ำผ่านไตมากๆ ไตจึงต้องทำงานหนัก เสียพลังใน
การทำงานเยอะ นานเข้าก็เกิดอาการอย่างที่หมอจีนเรียกว่า พร่องพลังไต เปรียบเทียบง่ายๆว่า เหมือนภูเขาลูกหนึ่ง
ที่ปล่อยให้ฝนตกกระหน่ำเอาๆ ฝนย่อมชะเอาฮิวมัสหรือปุ๋ยธรรมชาติ ที่อยู่บนผิวดินออกไปกับน้ำเสียหมด นานๆ
เข้า เขาลูกนั้นก็กลายเป็นเขาหัวโล้น แท้ที่จริงวิชาสุขศึกษาบอกว่าดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว แต่ตามปกติเรามีน้ำ
ในมื้ออาหารอยู่แล้ว ถ้าจะหักลบน้ำที่ดื่มในมื้ออาหารออก คนเราก็ควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 4 แก้ว สำหรับคนที่
พร่องพลังไตอยู่แล้ว ก็ควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 3 แก้ว จึงจะแก้สถานการณ์ได้ ส่วนการที่หมอจีนบอกว่าให้ดื่มน้ำ 4
แก้วตอนเช้านั้น แท้ที่จริงเพื่อช่วยให้ขับถ่าย เพราะเถ้าแก่ทั้งหลาย กินแต่ข้าวขาว กินหมูกินไก่ ผักไม่ค่อยกิน
เพราะถือว่าผักเป็นอาหารของคนจน หมอจีนจึงใช้วิธีนี้สอนคนท้องผูก แต่ถ้าเรากินข้าวกล้อง ผักผลไม้มากพอ ก็
ไม่จำเป็นต้องแค่นดื่มน้ำเช่นนั้น
กับดักสุขภาพประการที่ 2 - นอนดึก ตื่นสาย
คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า การนอนแม้จะจำเป็น แต่ดึกๆมักมีเรื่องน่าดูในจอโทรทัศน์ หรือไม่ก็บนจอ
คอมพิวเตอร์ เลยตากสายตาดูโทรทัศน์ดึกๆ วัยรุ่นเล่นคอมฯ แช็ตกันเพลินจน 5 ทุ่ม สองยาม แล้วเข้านอน กะว่าตื่น
เอาสายๆก็ทดแทนจำนวนชั่วโมงการนอนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวัยรุ่นที่ต้องรีบไปเรียนหนังสือแต่เช้า หรือวัยทำงาน
ที่ต้องแข่งขันเบียดแทรกตัวเองไปทำงานแต่เช้ามืด ด้วยเหตุนี้ คนนอนดึก ตื่นเช้ามืด จำนวนชั่วโมงการนอนก็ไม่
พออยู่แล้ว สุขภาพย่อมเสียสุดๆ ส่วนคนนอนดึกตื่นสาย ก็ใช่ว่าสุขภาพจะดี นานเข้าสุขภาพก็เสื่อมสุดๆอีกเหมือน
กัน เหตุผลเพราะ แท้ที่จริงสัตว์ต่างๆล้วนมีโครงสร้างของสรีระร่างกายที่กำหนดว่า สัตว์นั้นเป็นสัตว์กลางวัน หรือ
สัตว์กลางคืน อย่างค้างคาว นกฮูก แมวเหมียว ต้องถือเป็นสัตว์กลางคืน เพราะมีเรดาร์ มีตาโต เอาไว้ใช้งาน
ตอนกลางคืน แต่คนเราต้องสังกัดเป็นสัตว์กลางวัน เดิมทีเดียวสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดแรกของโลกคือตัวซาลา
แมนเดอร์มีตาอยู่ 3 ดวง ตาดวงที่สามเป็นเกล็ดอยู่ตรงกลางหน้าผาก คอยทำหน้าที่รับแสงตะวัน เวลากลางวันแสง
สว่างจะทำให้เกล็ดนี้สร้างฮอร์โมนซีโรโตนิน ทำให้มันแจ่มใสออกมาหากิน เวลากลางคืนเกล็ดนี้จะสร้างฮอร์โมน
เมลาโตนิน ทำให้มันง่วงเหงา เข้ารูนอน ครั้นวิวัฒนาการจนมาเป็นคน เกล็ดนี้จมลึกเข้าไปในหน้าผาก กลายเป็น
ต่อมเหนือสมอง หรือ ต่อมไพเนียล ยังคงสร้างฮอร์โมน 2 ชนิดนี้สลับกันอยู่ หรือเรียกอีกที ต่อมนี้คือนาฬิกา
ชีวภาพที่ปลุกเราให้ตื่นเช้า และกล่อมเราให้เข้านอนโดยอัตโนมัติ การตากแสงไฟดึกๆจึงเป็นการรบกวนต่อมไพ
เนียลซึ่งเป็นนายเหนือต่อมฮอร์โมนทั่วร่างกาย มันส่งคำสั่งไปยังต่อมใต้สมอง ไปไทรอยด์ ต่อมหมวกไต รังไข่
และอัณฑะ ถ้าต่อมไพเนียลทำงานผิดเพี้ยน ฮอร์โมนทั่วร่างกาย ก็ผิดเพี้ยนไปด้วย งานวิจัยชิ้นหนึ่งของหมอลลิตา
สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ซึ่งอาจารย์ร็อกกี้เฟลเลอร์จูงใจให้ทำ ทดลองให้ส่องไฟให้หนูทดลองตลอดคืน ทำอยู่เช่น
นั้นหลายๆวัน ปรากฏว่าหนูทดลองถึงกับแท้งลูก นี่แสดงถึงความสำคัญของต่อมไพเนียลซึ่งถึงกับสร้างความแปร
ปรวนของระบบฮอร์โมนในร่างกาย เพียงเพราะว่าแสงไฟที่สาดส่องให้อย่างไม่เป็นเวลา งานวิจัยอีกชิ้นใน
สหรัฐฯทดลองในพยาบาลเวรดึก กลุ่มหนึ่งให้ออกเวรแล้วเดินผ่านอุโมงค์มืดๆไปเข้านอน อีกกลุ่มให้เดินผ่านแสง
ตะวันยามเช้า ไปเข้านอน เมื่อเจาะเลือดเปรียบเทียบระดับฮอร์โมนของร่างกาย พบว่าพยาบาลกลุ่มหลังฮอร์โมน
แปรปรวนไปหมด ขณะที่กลุ่มแรกฮอร์โมนยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ นี่ก็อิทธิพลของแสงตะวันที่เจ้าตัวรับเข้าไปผิดเวลา
แท้ที่จริงแล้ว คนเราจึงควรนอนหัวค่ำ ตื่นเช้า แทนที่จะตากแสงไฟอยู่จนดึกๆ
กับดักสุขภาพประการที่ 3 - กลัวโคเลสเตอรอล จนไม่กล้ากินไข่ แต่ไพล่ไปดื่มนม
นิตยสาร Time ในอเมริกาตีพิมพ์ตั้งแต่เดือนกันยายน 1999 บอกว่า "Cholesterol-Good
News" ยืนยันว่า โคเลสเตอรอลในเลือดของคนเรา สร้างจากภายในตัวเราเองถึง 90% มีเพียง 10% ที่เป็นผล
กระทบจากโคเลสเตอรอลในอาหาร และวัตถุดิบที่สร้างโคเลสเตอรอลคือกรดไขมันอิ่มตัว ดังนั้นไข่ซึ่งเป็นแหล่ง
ของโคเลสเตอรอลจึงได้รับการถอดออกจาก Black list ทางโภชนาการที่อเมริกา แต่ตรงกันข้าม แหล่ง
ของกรดไขมันอิ่มตัวหลายอย่างได้รับการบรรจุให้กลายเป็นตัวที่ถูกเพ่งเล็งทางสุขภาพ ตัวสำคัญได้แก่ นม เนย ชีส
รวมทั้ง Peanut butter ผลยืนยันได้ในเชิงปฏิบัติที่เป็นจริง ดังจะเห็นว่า ประเทศไทยซึ่งถูกประโคมให้กลัว
ไข่กันมามากกว่า 10 ปี จนปัจจุบันคนไทยกินไข่เพียง 130 ฟอง/คน/ปี แต่คนไทยดื่มนมกันไม่อั้น เพราะถูกประโคม
ข่าวว่ายิ่งดื่มนมยิ่งสุขภาพดี ผลปรากฏว่าคนไทยมีโรคไขมันเลือดสูงมากขึ้นๆทุกปี รวมทั้งโรคอ้วนทั้งในเด็กและ
ผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ไทยมีโรคไขมันเลือดสูง 50% ของประชากรในเมือง แม้แต่เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 ปี พูดง่ายๆว่าอยู่ใน
วัยอนุบาลก็มีไขมันเลือดสูง 25% ของประชากร เด็กเหล่านี้ยังไม่ได้กินอย่างอื่นแน่ แต่ถูกป้อนให้ดื่มนมไม่อั้น มาดู
อย่างประเทศจีนบ้าง จีนกินไข่มากกว่าเรา คือ 330 ฟอง/คน/ปี กินไข่มากกว่าเรา 3 แต่คนจีนมีโรคไขมันเลือดสูงต่ำ
กว่าคนไทย การดื่มนมจึงเป็นกับดักสุขภาพที่ต้องละเลี่ยง ที่สนุกไปกว่านั้นก็คือ ปัจจุบันทั่วโลกในประเทศที่มีการ
ศึกษาสูง กำลังหันมาส่งเสริมการบริโภคไข่ ลดละการดื่มนม ที่เบลเยี่ยมมีประดิษฐกรรมใหม่ เขาสร้างไข่ชนิดใหม่
เรียกว่า ไข่โคลัมบัส ไม่ใช่ไข่ของคนที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสหรอกนะครับ แต่เป็นไข่ที่นอกจากกินแล้วคลอเลสเต
อรอลไม่สูง (ซึ่งไข่ทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น) แต่ไข่โคลัมบัสใช้กระบวนการเลี้ยงไก่ด้วยอาหารพื้นบ้าน ซึ่งเขาถือว่า
อาหารพื้นบ้านจะมีสัดส่วนของโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่ถูกต้องโดยธรรมชาติ เมื่อมาเลี้ยงไก่ด้วยวิธีนี้ จะทำให้
ไขมันจำเป็นในร่างกายถูกต้องไปด้วย เป็นผลให้กินไข่โคลัมบัสควบคุมโคเลสเตอรอลในเลือดได้อีกต่างหาก จึงไม่
มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องอดกินไข่ ยกเว้นแต่ว่าคุณมีโคเลสเตอรอลสูงอยู่แล้ว มีนิสัยชอบกินนม กินเนย ก็ขอ
แนะนำให้งดเนย งดนม กินไข่อย่างเดียวโคเลสเตอรอลจะไม่สูงอย่างแน่นอน
กับดับสุขภาพ ประการที่ 4 - ไม่กินไขมันเลย เพราะกลัวอ้วน
เราถูกรณรงค์ให้หลีกเลี่ยงการกินไขมัน เพราะกลัวอ้วน กลัวไขมันเลือดสูง จนคนจำนวนหนึ่งกลัวไขมัน
เกินกว่าเหตุ ตนเองยังสุขภาพแข็งแรงไม่ได้ป่วยเจ็บเป็นโรคอะไร แต่ไม่กินไขมันเลย เป็นเวลาหลายๆปี จนกลาย
เป็นภาวะพร่องไขมัน แท้ที่จริงเราต้องรู้ว่า ไขมันเป็นสารอาหารกลุ่มหนึ่งที่ร่างกายต้องใช้ ในร่างกายของเรามี
ไขมันอยู่ 3 ชนิด ใหญ่ๆ หนึ่งคือโคเลสเตอรอล สองคือไตรกลีเซอไรด์ และสามคือฟอสโฟไลปิด เราใช้โคเลสเต
อรอลเป็นแหล่งวัตถุดิบในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ และสร้างฮอร์โมนเพศกับฮอร์โมนคอร์ติโซล ส่วนไตรกลีเซอไรด์
เป็นแอ่งพลังงานในกระแสเลือด เพื่อหนุนช่วยน้ำตาลในเลือด ส่วนฟอสโฟไลปิดเป็นวัตถุดิบสำหรับสร้างเซลล์
ประสาท ฯลฯ จึงเห็นการหลีกเลี่ยงอาหารไขมัน จนถึงกับไม่กินเลย ทั้งๆที่สุขภาพเป็นปกติอยู่นั้น นานๆเข้าก็จะ
เกิดโรค จะยกตัวอย่างกรณีสุดขั้วกรณีหนึ่ง ผมเคยพบนิสิตมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง เดินเข้ามาหาผมด้วยน้ำหนัก
ตัว 35 กก. จินตนาการเหมือนกับไม้แขวนเสื้อลอยมา อย่างนั้นแหละ แต่เธอเข้ามาหาผม พร้อมกับบอกว่า "หนูต้อง
การลดน้ำหนักค่ะ" เธอมีความคิดว่าน้ำหนักตัวขนาดนั้นของเธอยังไม่เป็นที่พอใจ บอกว่าอยากให้หุ่นผอมเพรียว
เหมือนสาวที่เดินบนแค็ตวอล์ก ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่กินน้ำมันทุกชนิด ผมมองปราดเดียวที่ใบหน้าและผิวพรรณของ
เธอก็บอกได้เลยว่า เธอกำลังป่วยด้วยภาวะพร่องไขมัน คือผิวแห้งและหน้าตาหม่นหมองมาก ถามประวัติอีกหน่อย
ก็พบว่า ผมเธอร่วงเป็นประจำ และที่สำคัญก็คือ เธอขาดประจำเดือนมาได้กว่าปีแล้ว นั่นเป็นเพราะว่า ภาวะที่พร่อง
ไขมัน ร่างกายก็ขาดวัตถุดิบไปสร้างฮอร์โมนเพศ ทั้งสำหรับสุขภาพของผิวพรรณ และเส้นผมอีกด้วย น่าเสียดายว่า
ความเข้าใจผิดๆประการนี้ ทำให้แม้กระทั่งนิสิตปีสี่ของมหาวิทยาลัยอย่างเธอต้องหลงผิดไปตามแสงสีของแฟชั่น
คิดดูก็น่าใจหาย ผมนึกถึงกฎแห่งการอยู่รอดของดาร์วิน ที่บอกถึงการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติ สัตว์ใดแข็งแรงกว่า
ย่อมอยู่ได้ สัตว์ใดที่อ่อนแอกว่าก็สูญพันธุ์ไปในที่สุด สังคมมนุษย์ก็คงเช่นเดียวกัน คนใดฉลาดกว่ารู้จักแสวงหา
ความรู้ที่ถูกต้อง และดำเนินชีวิตที่ชอบที่ควรก็อยู่รอด แต่คนใดไม่ฉลาดหาความรู้ หรือหลงไปในทางอวิชชา สุด
ท้ายก็ทำลายสุขภาพตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอ ยังอาจหมดโอกาสสืบพันธุ์อีกด้วย อย่างกรณีขาดประจำเดือนของสาว
หลงรายนี้ ธรรมชาติก็คงบอกว่า "สาวน้อย เธอจงอย่ามีประจำเดือน และอย่าสืบสกุลมีลูกมีหลานเถอะนะ" นี่คือ
การคัดพันธุ์โดยธรรมชาติตามกฎของดาร์วินอีกเหมือนกัน มีกรณีตัวอย่างขนาดเบาๆอีกตัวอย่างหนึ่ง คือพี่สาวของ
ผมเอง ซึ่งไปได้ตำแหน่งงานดีๆ ที่วิทยุแห่งชาติ นครปักกิ่ง ประเทศจีนโน่น เธอเป็นผู้รักสุขภาพเช่นเดียวกัน และ
มักจะดูแลตัวเองและสามีเรื่องระดับโคเลสเตอรอลในเลือดด้วยเหมือนกัน เธอกินข้าวกล้อง กินผัก กินปลาและกิน
ผลไม้สม่ำเสมอ เมื่ออยู่เมืองไทย เธอเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ชอบกินไขมัน เมื่อไปอยู่ปักกิ่ง เธอก็ยังคงควบคุมอาหาร
เหมือนเมื่ออยู่เมืองไทย เธอสู้อุตส่าห์หาข้าวกล้องที่เมืองจีนมาหุงกินเป็นประจำ นับเป็นการแสวงหาที่ยากลำบาก
มาก เพราะคนจีนยังไม่ตื่นตัวเรื่องกินข้าวกล้อง แต่สามีเธอก็สู้อุตส่าห์หามาให้ครอบครัวได้กินกันจนได้ สิ่งที่เธอ
กังวลก็คือ อาหารปักกิ่งล้วนแต่เป็นอาหารมันๆทั้งนั้น ซึ่งขัดกับนิสัยการคุมไขมันของเธอ เธอจึงพยายามกิน
อาหารปักกิ่งให้น้อยที่สุด ตื่นเช้าต้มข้าวต้มกินกับกับข้าวง่ายๆ ตอนเที่ยงจำต้องกินอาหารจีน แต่พอตกเย็น
บ่อยครั้งที่เธอจะไม่กินข้าว จะกินแต่ผลไม้แทนผลปรากฏว่า เมื่อตกเข้าหน้าหนาว เธอมีอาการหนาวจนแทบจะ
ทนไม่ไหว และก็ไม่ค่อยรู้สึกสดชื่นเหมือนเดิม พอดีผมไปเยี่ยมเธอที่ปักกิ่ง และกินอาหารอยู่ในบ้านด้วยกัน ก็เป็น
อันถึงบางอ้อ เพราะแท้ที่จริงเธอคุมน้ำมันจนสุดขั้วเกินไปนั่นเอง ธรรมชาติบำบัดจะบอกว่า "กินอยู่ตามวัฒนธรรม
พื้นบ้าน" ผู้คนในเมืองไหนๆ จะมีประเพณีการกินอยู่ตามวัฒนธรรมของตัวเอง การที่ผู้รักสุขภาพอย่างเธอ ไปอยู่
เมืองจีนซึ่งมีอากาศหนาวกว่าบ้านเรามากนัก แล้วฝืนตัวเอง ไม่กินอาหารมันๆ ก็ย่อมพร่องแคลอรี จนเสี่ยงที่จะเกิด
เจ็บป่วยได้นั่นเอง สำหรับคนไทยอยู่เมืองไทยอย่างเรา หลักปฏิบัติง่ายๆในเรื่องไขมันก็คือ กินอาหารแต่ละมื้อให้มี
อาหารจานที่มีไขมันสัก 1 อย่าง เช่น มีผัดผัก มีไข่เจียว มีไก่ทอด จานใดจานหนึ่งในแต่ละมื้อ นั่นคือทางสายกลางที่
เลือกเดินได้ กับดักสุขภาพ ประการที่ 5 - กินผลไม้จนล้นเกิน น้ำตาลขึ้น ไขมันสูง ผลไม้น่ะ ดี เพราะ
เป็นแหล่งของวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี เบต้าแคโรทีน และถ้ากินสม่ำเสมอในปริมาณที่พอเหมาะ ก็
ช่วยจรรโลงสุขภาพได้ อย่างไรก็ตาม สรรพสิ่งในโลกย่อมมี 2 ด้านอยู่เสมอ ผลไม้ทุกชนิดมีรสหวาน จึงเป็นแหล่ง
ที่มาของน้ำตาลในเลือดชัดๆอยู่แล้ว และคนที่เป็นเบาหวานที่รักษาด้วยยา หมออาจจะอนุโลมให้กินผลไม้ โดยแบ่ง
กินทีละไม่เกินผลไม้ 2-3 กลีบเป็นต้น แต่สำหรับสูตรรักษาเบาหวาน-กินเนื้อกินผักแบบบัลวี เราก็ไม่ให้กินผลไม้
เลย ซึ่งจะคุมเบาหวานลดลงได้เร็วมาก ภายใน 10 วัน ทีนี้สำหรับคนทั่วไป ผลไม้ย่อมกินได้อย่างเป็นทางสายกลาง
แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่กินผลไม้อย่างสุดขั้ว แล้วเกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ ประการหนึ่ง คนที่กินผลไม้หวานจัด
เช่นทุเรียน ขนุน ลำไย เหล่านี้มักจะเกิดอาการร้อนในได้ เรื่องนี้ต้องอธิบายด้วยทฤษฎีแมกโครไบโอติกส์ ซึ่งบอก
ว่า ผลไม้เป็นสุดขั้วของพลังหยิน กล่าวคือในประเทศเขตร้อน พลังหยางมีมาก ต้นไม้จึงเอาพลังหยินของมันมุดลง
ดิน แล้วไปผลิออกเป็นผลไม้ หล่อเลี้ยงธรรมชาติด้วยสุดยอดพลังหยินของมัน คน สัตว์กินผลไม้หน้าร้อนก็ชื่นใจ
แต่ถ้ากินมากเกินไป พลังหยินที่รับเข้าไปมาก จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังหยางสุดขั้ว จึงเกิดอาการเจ็บคอร้อนในได้ แมก
โครไบโอติกส์ชนิดสุดโต่งจึงไม่แนะนำให้กินผลไม้เมืองร้อนเลย แต่ผมมักจะแนะนำว่า เราอยู่เมืองร้อน ย่อมกิน
ได้อย่างทางสายกลาง ประการที่สอง บางคนกินผลไม้เพราะต้องการคุมอาหารมื้อเย็น คือไม่กินข้าวมื้อเย็น แต่กิน
ผลไม้โดยหวังที่จะลดน้ำหนัก หรือลดไขมันเลือด ผลก็คือ น้ำหนักตัวยิ่งขึ้น ไขมันเลือดยิ่งไม่ลด เหตุผลก็คือ ผลไม้
มีความหวาน เมื่อกินแทนข้าว เจ้าตัวก็หลงกินไม่บันยะบันยัง จึงเพิ่มน้ำตาลในเลือด และถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซ
อไรด์ ซึ่งเป็นไขมันในเลือด คนกินหวานทุกชนิดก็เสี่ยงต่อไตรกลีเซอไรด์สูง และไตรกลีเซอไรด์มีมาก ก็ถูกเก็บไว้
ที่แก้มก้น และพุงกระทิได้ จึงไม่แคล้วอ้วนอยู่ดี
กับดักสุขภาพประการที่ 6 - ถือเอาวิตามิน อาหารเสริม เป็นคำตอบสุขภาพ
ผมจำได้ว่าเมื่อบริษัทวิตามินจากออสเตรเลียจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ผมได้รับการ
ติดต่อจากเพื่อนซึ่งเป็นเภสัชกร ที่เป็นตัวแทนของบริษัทวิตามินนี้ให้ช่วยเผยแพร่ความคิดเรื่องวิตามินให้แก่ผู้
บริโภค ขณะนั้นเมืองไทยยังไม่ค่อยมีคนรู้จักประโยชน์ของการกินวิตามิน ยังไม่รู้จักคำว่า free radicals และ
ไม่รู้จักคำว่า anti-oxidant แม้ว่าความรู้ทางธรรมชาติบำบัดในยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียจะมีเรื่อง
ราวเหล่านี้มากมายแล้วก็ตาม เพราะขณะนั้นช่วงห่างระหว่างความรู้ในประเทศตะวันตกกับประเทศไทย จะล่าช้า
กว่ากันประมาณ 10 กว่าปี ความรู้การแพทย์แบบแผนรู้จักวิตามินในฐานะสารตัวเล็กๆ ที่ช่วยป้องกันตาบอดกลาง
คืน รักษาเหน็บชา ป้องกันลักปิดลักเปิด ซึ่งนับวันโรคเหล่านี้จะหมดไป เมื่อผู้คนในสังคมอยู่ดีกินดีกันมากขึ้น แต่
ไม่รู้จักบทบาทใหม่ของวิตามินในอีกด้านหนึ่ง จำได้ว่าขณะนั้นผมเขียนบทความธรรมชาติบำบัดในมติชนสุด
สัปดาห์ตั้งแต่ต้นปี 2534 จึงได้แนะนำเรื่องของสาร อนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นคำบัญญัติใหม่โดย ศ.ดร.ไมตรี สุทธจิตต์
ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และวิตามินก็มีบทบาทเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ มีความรู้
เหล่านี้พิมพ์เผยแพร่เป็นพ็อกเก็ตบุ้กโดยสำนักพิมพ์รวมทรรศน์ และจัดเสวนาสุขภาพเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2535
นับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดบรรยายเรื่องราวทางสุขภาพให้ผู้คนมาร่วมกันฟังเป็นจำนวนมากๆ และเป็นที่มา
ของมหกรรมสุขภาพในขอบเขตต่างๆทั่วประเทศที่มีกันอยู่ในยุคปัจจุบันนี้ และรวมทรรศน์ก็ได้จักมหกรรม
ธรรมชาติบำบัดสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นับได้ 13 ปี การบรรยายความรู้เรื่องวิตามินในฐานะแอนติออกซิแดนต์
ทำให้คนไทยเริ่มตื่นตัวเรื่องโรคเสื่อมของร่างกายและหันมาสนใจกินอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะแนวคิดของผมก็คือ
วิตามินมีอยู่แล้วในพืชผัก ผลไม้ การจะป้องกันรักษาโรคหัวใจหลอดเลือด กระทั่งโรคมะเร็ง ก่อนอื่นให้ปรับ
เปลี่ยนพฤติกรรมหันมากินอยู่อย่างไทยเสียก่อน ส่วนวิตามินที่กินเป็นเม็ดๆนั้น ใช้เมื่อจำเป็น แต่ก็ทำให้วตามิน
และอาหารเสริมในเมืองไทยเริ่มขายดี กระนั้นก็ตาม ก็มีแพทย์จำนวนหนึ่งในสมัยนั้นที่ไม่เข้าใจ ได้กระทบ
กระเทียบว่า "การกินวิตามิน รังแต่ทำให้น้ำปัสสาวะของคนเราแพงขึ้นเท่านั้นเอง" พูดง่ายๆว่า เปล่าประโยชน์ที่
จะกินวิตามิน เนื่องจากพวกเขาในขณะนั้นยังไม่รู้เรื่องของ free radicals กันเลย ครั้งเมื่อเห็นว่าวิตามินซี
ธรรมชาติกำลังขายดิบขายดี ก็มีแพทย์อีกจำนวนหนึ่งบอกว่า "ระวังกินวิตามินซีมากๆจะเป็นนิ่วในไต" ซึ่งนับเป็น
เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าจะพิจารณากลไกการดูดซึมวิตามินซีเข้าสู่ร่างกาย ตามปกติในลำไส้ของเราจะมี
receptor ซึ่งเป็นประตูเปิดรับวิตามินซี ประตูเหล่านี้จะเปิดปิดมากน้อยตามความต้องการของร่างกายในแต่ละ
ขณะ คนปกติต้องการวิตามินซีต้านอนุมูลอิสระวันละประมาณ 1,000 มก. ถ้ากำลังเครียดอาจเพิ่มความต้องการเป็น
2,000 มก. ถ้ากำลังเป็นหวัดความต้องการจะเพิ่มเป็น 4,000-6,000 มก. และถ้าเป็นมะเร็งอาจมีความต้องการเพิ่มเป็น
10 พัน-50 พัน มก. ถ้าร่างกายยังไม่ต้องการวิตามินในระดับนั้น การกินวิตามินซีมากเกินความต้องการ ก็จะไม่ดูด
ซึมและถ่ายทิ้งไป ทำให้เกิดอาการท้องเสีย เหมือนอย่างที่ใครสักคนหนึ่งกินมะขามมากๆแล้วท้องเสียนั่นแหละ
การเกิดนิ่วในไตจากวิตามินซีจึงเกือบจะเป็นไปไม่ได้ การกินวิตามินแพร่ไปเหมือนไฟลามทุ่ง ภายในระยะเวลา 3
ปีต่อจากนั้น และยิ่งแพร่อย่างรวดเร็วเมื่อมีกิจการขายตรงแบบ MLM ชาวบ้านกลุ่มแรกๆที่กินวิตามินกันอย่าง
ไม่อั้น ก็คือ ชาวบ้านระดับไฮโซไฮซ้อ นั่นเอง มิไยว่าผมจะพร่ำบอกให้ ปรับชีวิตเปลี่ยนอาหาร กินอยู่อย่างไทยซะ
ก่อน ก่อนที่จะกินวิตามิน เพราะต้องอยู่ประการหนึ่งว่า สารธรรมชาติเหล่านี้มีมากมายมหาศาล สกัดกลั่นอย่างไรก็
เอาออกมาเป็นเม็ดๆไม่ได้หมด เพียงแค่ฟลาโวนอยด์ก็มีในธรรมชาติแล้ว 4,000 ชนิด แคโรทีนมีอยู่ 600 ชนิด และ
สารผักมีอีกมากกว่า 10,000 ชนิด แต่ภูมิปัญญามนุษย์นั้นสามารถสกัดออกมาได้เพียง 100 กว่าชนิดเท่านั้นเอง ดัง
นั้นถ้าจะคอยกินวิตามินโดยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร ก็นับเป็นเรื่องน่าเสียดาย กระนั้นก็ตามกิเลสของคน
เรา ก็ทำให้ผู้คนมิได้สนใจในคำเตือนนี้เท่าไรนัก จะมุ่งเอาแต่วิธีง่ายๆ คือคอยซื้อหาวิตามินมากิน กินแก้อ้วน กิน
ให้หุ่นดี กินให้ผิวสวย กินให้ไม่ท้องผูก มีปรากฏอยู่บ่อยครั้งที่ผมถูกเชิญไปบรรยายให้สโมสรชาวไฮโซทั้งหลาย
ฟัง พิธีกรรมของบุคคลเหล่านี้ก็แปลก คือเวลาเชิญเราไปบรรยาย เขาจะเร่งให้เรารีบๆกินอาหารให้จบๆไปก่อน
แล้วเมื่อสมาชิกของเขามากันพอสมควรแล้ว ทีนี้เขาจะเสิร์ฟอาหารให้สมาชิก แล้วเชิญเราขึ้นพูด นับว่าไฮคลาสพอ
สมควร คืออย่างน้อยๆเราก็ไม่ใช่ตลกคาเฟ่ ซึ่งมีจุดขายอยู่ที่ให้ผู้คนกินข้าวเคล้าเรื่องตลก ต่างกันตรงที่ว่าเนื้อหา
ของเราที่บรรยาย คุณภาพคับแก้ว ประจุไว้ด้วยสาระวิชาการ นั่นต่างหาก พอบรรยายเสร็จ เขาก็เชิญเรานั่งร่วมโต๊ะ
ทีนี้ละท่านผู้ไฮโซทั้งหลาย จะพากันมาถามเป็นส่วนตัวว่าวิตามินตัวนั้น ตัวนี้กินได้ ไม่กินดี เป็นต้น หลายๆท่านจะ
พกกระเป๋ามา 2 ใบ ใบหนึ่งเป็นกระเป๋าสตางค์ อีกใบหนึ่งเป็นกระเป๋าวิตามิน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมพูดอย่างตรงไป
ตรงมาว่า "จะกินวิตามินเหล่านี้สักแค่ไหน แต่ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร เล่นกินโต๊ะจีน กินอาหารฝรั่ง
อย่างที่เรากินกันมื้อนี้ กินไปอีกกี่ขวด ก็จะป่วยง่าย ตายเร็วอยู่ดี" ก็มีคนพยักหน้า เชื่อผมอยู่หลายคน แต่ผู้จัดคงรู้สึก
ถึงความตรงไปตรงมาของผม จากนั้นก็เคยไม่กล้าเชิญผมไปบรรยายให้ไฮโซไฮซ้อวงนั้นอีกเลย ครับ ในแนวคิด
ของบัลวี เราถือว่า คนเราจะหายป่วยเจ็บ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเป็นปัจจัยอันดับหนึ่ง แต่เมื่อป่วยเจ็บเสีย
เต็มประดา อย่างใครที่เป็นภูมิแพ้ เป็นมะเร็ง การเอาอาหารที่เขาสกัดมาเป็นเม็ดเข้มข้นมากินเข้าไป และถ้าไม่ป่วย
ไม่เจ็บ ก็ไม่จำเป็นต้องกินวิตามิน อย่าทำให้ปัสสาวะของท่านแพงขึ้นด้วยวิตามินที่เกินความจำเป็น แค่กินอาหาร
ให้ถูกส่วน กินผักผลไม้เยอะๆ ก็ได้รับวิตามินเพียงพอแล้วละครับ
กับดักสุขภาพ ประการที่ 7 - กินสมุนไพร คิดว่าปลอดภัยเสมอไป
ยุคนี้เป็นยุคของการคืนสู่ธรรมชาติ และเมื่อพูดถึงธรรมชาติใครๆก็มักจะนึกถึงสมุนไพร มีผู้รักสุขภาพ
จำนวนไม่น้อยที่หนีจากการกินยาแผนปัจจุบัน แล้วหันไปกินยาสมุนไพรโดยคิดอย่างเถรตรงว่า ขึ้นชื่อว่าสมุนไพร
แล้ว ย่อมไม่มีผลร้ายแต่ประการใด นั่นนับเป็นความเข้าใจผิดประการหนึ่ง แท้ที่จริงขึ้นชื่อว่ายาสมุนไพรก็หมายถึง
สิ่งที่กินเพื่อบำบัดรักษาโรค แต่นำมาจากพืชและสัตว์ ถ้ามาจากสัตว์ก็เรียกว่า สัตว์สมุนไพร ถ้ามาจากพืชก็เรียกว่า
พืชสมุนไพร ในสัตว์และพืชย่อมมีสารอินทรีย์จำนวนหนึ่งซึ่งอาจจะออกฤทธิ์ช่วยบำบัดรักษาโรคให้กับคนเรา
สารอินทรีย์เหล่านี้ย่อมต้องการปริมาณที่พอเหมาะ ไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไปในการออกฤทธิ์รักษาโรค ทีนี้เมื่อ
จะใช้สมุนไพรในการรักษาโรค จึงต้องศึกษาวิธีการใช้ และปริมาณการใช้ให้ถ่องแท้เสียก่อน ในอดีตที่ผ่านมา เคย
มีกรณีใหญ่ๆที่ใช้สมุนไพรรักษาโรคอย่างไม่ถูกวิธี จนถึงขั้นเกิดอันตรายร้ายแรงกับผู้ใช้ เช่นการใช้ผลมะเกลือคั้น
น้ำกะทิเพื่อถ่ายพยาธิ ถ้าทำอย่างผิดวิธีก็ถึงขั้นทำให้เด็กที่กินถึงกับตาบอดได้ อีกกรณีหนึ่งคือ การใช้ใบขี้เหล็ก
รักษาอาการนอนไม่หลับ แกงขี้เหล็กที่คนไทยรู้จักกันดี สามารถกินกันได้อย่างสนิทใจ และมีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ
ช่วยไม่ให้ท้องผูก และนอนหลับสบายอีกด้วย ต่อมามีการค้นพบว่าใบขี้เหล็กยังมีสารยาซึ่งออกฤทธิ์ช่วยให้นอน
หลับ จึงมีความพยายามที่จะทำใบขี้เหล็กให้เป็นยาสมุนไพรสำเร็จรูปที่ใช้ง่ายเป็นชนิดเม็ด และกระบวนการผลิตก็
กระทำกันอย่างง่ายๆโดยใช้ใบขี้เหล็กตากแห้ง บดเป็นผงแล้วทำเป็นเม็ดขึ้นมาเลย ซึ่งแม้แต่องค์กรรัฐวิสาหกิจทาง
ด้านเภสัชกรรมก็ยังเป็นผู้นำหน้าในการผลิตขี้เหล็กเม็ดขึ้นมาวางจำหน่ายในท้องตลาด อย่างไรก็ดี เมื่อขี้เหล็ก
แคปซูลเหล่านี้ เข้าถึงผู้บริโภคอยู่พักใหญ่ ก็เริ่มมีข้อสังเกตจากแพทย์ระบบทางเดินอาหารหลายท่านว่า เริ่มพบผู้
ป่วยด้วยโรคตับอักเสบที่ไม่พบสาเหตุอื่นนอกจากประวัติที่ว่า ได้กินขี้เหล็กแคปซูลมาพักหนึ่ง หลังจากได้ติดตาม
ค้นคว้ากันอยู่พักหนึ่ง ก็มีผลยืนยันออกมาว่า ผู้คนที่มีเอนไซม์ตับเพิ่มขึ้นสูงเหล่านั้นต้องพิษจากสารบางอย่างในใบ
ขี้เหล็กนั่นเอง เป็นผลให้ต้องมีการประกาศให้เลิกใช้ยาเม็ดขี้เหล็กไปทั่วประเทศ อย่างไรก็ดี คำถามมีว่า เหตุใดคน
โบราณจึงกินแกงขี้เหล็กโดยไม่ปรากฏอันตรายขึ้น เหตุผลน่าจะอยู่ที่ว่า บรรพบุรุษของเรากินขี้เหล็กโดยเอามาแกง
ความร้อนได้ทำลายสารพิษบางอย่างในขี้เหล็กไปแล้ว จึงปลอดภัยในการกิน แต่เมื่อนำใบขี้เหล็กผงมาทำเป็นเม็ด
ไม่ได้ผ่านกระบวนการทำความร้อน สารพิษจึงยังคงอยู่ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การกินอยู่อย่างบรรพบุรุษ ได้แฝงไว้ซึ่ง
ภูมิปัญญาในการเลือกกินเลือกอยู่ในปลอดภัยไร้โรค แต่เมื่อคนสมัยใหม่คิดจะสุขภาพดีทางลัด โดยลัดภูมิปัญญา
ของท่านด้วยกรรมวิธีสมัยใหม่ อันตรายก็อาจเกิดขึ้นได้ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
กับดักสุขภาพ ประการที่ 8 - ไปฟิตเนส แต่เสียเงิน เสียสุขภาพ
สมัยหนึ่งกระทรวงสาธารณสุขนึกสนุกขึ้นมา จะพาคนไทยเต้นแอโรบิกส์ให้ได้จำนวนมากๆเพื่อลงกินเนส
บุ๊คก็แห่กันไปเต้นกันย็อกแย็กอยู่วันเดียว เพื่อให้ได้ชื่อว่าลงบันทึกที่สุดในโลกเล่มนั้น งานนั้นเล่นเอาท่านอาจารย์
เสม พริ้งพวงแก้ว สร้างความใจหายใจคว่ำให้แก่ลูกๆทั่วประเทศ ด้วยห่วงว่าท่านจะเกิดอาการไม่สบายขึ้นมา
อย่างกระทันหัน โชคดีว่าไม่เป็นอะไร แต่เบื้องลึกของงานดังกล่าวเสื้อเหลืองถูกแจกจ่ายไปโดยกะเกณฑ์กันให้ทุก
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกันไปเต้นกันให้มากๆ ทั้งๆที่คนเต้นจำนวนไม่น้อย เกิดมาในชีวิตก็ไม่เคยออกกำลัง
กายเลย แต่ไปเพราะใจที่ถูกกะเกณฑ์ และไปเพราะมีเสื้อเหลืองบังคับอยู่ มาในวันนี้เสื้อสีเหลืองถูกเปลี่ยนมือ
เปลี่ยนสถานที่สวมไปอยู่แถวสวนลุมพินีเสียแล้ว นั่นแสดงถึงความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่ง แต่เหนือสิ่งอื่นใด
พฤติกรรมเต้นแอโรบิกหมู่ สะท้อนถึงความเห่อตามสมัยนิยมไปอย่างนั้นเอง คนอีกจำนวนหนึ่ง เข้าฟิตเนสอย่าง
ไม่รู้จักจุดมุ่งหมายของฟิตเนสให้ดีพอ คิดแต่จะไปวิ่งลดน้ำหนัก บางทีอาจเสียเงินแล้วอาจเสียสุขภาพก็ได้ ก่อนอื่น
คำว่าฟิตเนสมีความหมายกว้างไกลกว่าการวิ่งสายพานหรือเล่นลูกน้ำหนัก เพราะฟิตเนสหมายถึงความแข็งแรง
ของร่างกาย ซึ่ง Garry Null และ Martin Feldman ได้ให้คำนิยามไว้ว่า Fitness ในโลกยุคปัจจุบัน
ประกอบด้วย 3 ประการคือ 1.Cardio-vascular Fitness ความแข็งแรงของหัวใจหลอดเลือด
2.Immunity Fitness ความแข็งแรงของภูมิต้านทาน 3.Anti-oxidant Fitness ความแข็งแรงของ
การล้างพิษอนุมูลอิสระ ความแข็งแรงทั้ง 3 ประการจะเกิดขึ้นได้ ต้องประกอบด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม
ออกกำลังกายแอโรบิกส์ที่ 60% Maximum heart rate ในระดับดังกล่าวจะได้ทั้งการฝึกฝนหัวใจหลอด
เลือด เข้าสู่ภาวะแอโรบิกส์ ขณะเดียวกันอนุมูลอิสระก็เกิดขึ้นไม่มากไม่น้อย โดยอนุมูลอิสระจำนวนพอเหมาะจะ
กระตุ้นภูมิต้านทานให้แข็งแรงพอดิบพอดี ถ้าออกกำลังมากไปกว่านั้น อนุมูลอิสระจะเกิดขึ้นล้นเกิน ทำให้ภูมิต้าน
ทานลดต่ำ และเป็นเหตุให้ร่างกายสึกหรอเพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากออกกำลังกายแล้ว ผู้ออกกำลังกายยังต้องรู้จักการ
กินอาหารที่เหมาะสม กินผักผลไม้ให้มากเพื่อลดอนุมูลอิสระ ถ้ากินได้มากเพียงพอ คือ 5 ส่วนบริโภคต่อวัน ก็จะได้
สารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอโดยไม่ต้องกินวิตามินชนิดเม็ดแต่ประการใด การออกกำลังกายยังต้องกระทำทั้งทาง
ร่างกาย และทางจิตด้วย การออกกำลังทางจิตทำได้โดยฝึกลมหายใจ ฝึกลมหายใจให้ยาวจนถึงระดับ 6 ครั้ง/นาที จะ
นำจิตเข้าสู่ภาวะสงบนิ่งหรือสมาธิ การเข้าฟิตเนสนั้นดีอยู่หรอก แต่ควรสนใจใช้อย่างมีคุณภาพ ประการต่างๆดัง
นี้: 1.ออกกำลังกายตามความสามารถของตน ไม่ใช่เร่งตัวเองไปตามแรงเชียร์ของพนักงาน ปัจจุบันฟิตเนสส่วน
หนึ่งจ้างพนักงานโดยจ่ายตามเปอร์เซ็นต์ที่พนักงานคนนั้นเรียกได้จากลูกค้า จึงเกิดการ "เชียร์แขก" กันสุดขั้วไป
ข้างหนึ่ง หลายคนกล้ามเนื้อฉีก เอ็นอักเสบ แล้วกลายเป็นจุดอ่อนไม่สามารถออกกำลังกายไปตลอดชีวิต2.ฟิตเนสมิ
ได้มีไว้ลดน้ำหนักสถานเดียว ต่อให้วิ่งคนลิ้นห้อย อาจเผาพลังงานไปเพียง 120-150 กิโลแคลอรีด้วยเวลาประมาณ
30 นาที ซึ่งเท่ากับข้าวต้มหมูชามเดียว ใครที่กินราดหน้าก็ต้องวิ่งถึง 45-60 นาทีโดยประมาณ วิ่งสายพานอย่างเดียว
จึงไม่ใช่สรณะของการลดน้ำหนัก ต้องปฏิบัติอย่างองค์รวม และผู้ประกอบการฟิตเนสก็ควรแสวงหาความรู้และ
แนวทางปฏิบัติอย่างองค์รวมเพื่อลูกค้าของตน 3.อุตส่าห์เสียเงินสมัครฟิตเนสแล้ว ก็ควรใช้อย่างสม่ำเสมอ กว่าร้อย
ละ 80 ของสมาชิกฟิตเนส มักเห่อประเดี๋ยวประด๋าว ใช้เพียงไม่กี่ครั้งก็ทิ้งเงินไป นี่คือบริโภคนิยมอีกแบบหนึ่ง ที่
ไม่น่านิยม เสียทั้งเงินแถมไม่ได้สุขภาพอะไรกลับมา นอกจากบัตรหนึ่งใบที่ได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกฟิตเนส
กับดักสุขภาพ ประการที่ 9 - สวนกาแฟ แก้ได้ทุกโรค
คนไทยเห่ออะไรกันง่ายๆ โดยทำตามกันเป็นกระแส จึงมัก
จะสุดขั้วไปทางใดทางหนึ่ง เรื่องการสวนกาแฟก็เช่นเดียวกัน เกิดเสียงร่ำลือกันว่า สวนกาแฟทำให้ผอมจากคำให้
การของดารานางแบบคนหนึ่ง จากนั้นกระแสสวนกาแฟก็เบ่งบาน แทนที่จะเป็นเรื่องดี กลับทำให้การสวนกาแฟ
กลายเป็นเรื่องตลกร้ายทางสุขภาพมาตลอดปี คือ สวนกาแฟผิดวัตถุประสงค์ เข้าใจว่าสวนเพื่อลดความอ้วน สวน
เพื่อแก้ท้องผูก บางคนใช้กาแฟเกินพิกัด สวนแล้วตาสว่างไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน บ้างก็สวนพร่ำเพรื่อจนกลาย
เป็นการเสพติดการสวนกาแฟ แถมเมื่อเกิดอาการมือสั่น ใจสั่นหลังสวนกาแฟ ยังไปร่ำลือผิดๆว่า เป็นเพราะกาแฟ
กำลังช่วยให้เกิดการ ดีท็อกซ์ อยู่ หารู้ไม่ว่านั่นคือ อาการต้องพิษกาแฟ บางคนสวนแล้วสวนอีกวันละ 2-3 ครั้ง ก็
กลับสนับสนุนกันไปใหญ่ แท้ที่จริงการที่คนเหล่านั้นต้องสวนบ่อยมาก เพราะเกิดอาการ เสี้ยนยา เพราะเสพติด
กาแฟทางก้นนั่นเอง แท้ที่จริง การสวนกาแฟเป็นเทคนิคดีๆของการแพทย์แผนธรรมชาติประการหนึ่งที่เอื้ออำนวย
แก่กระบวนการล้างพิษจากร่างกาย โดยอาศัยคาเฟอีนที่ดูดซึมจากลำไส้ใหญ่ผ่านเข้าสู่ตับ ไปกระตุ้นให้ตับขับพิษ
ได้ดีขึ้น แต่ต้องรู้ว่า การสวนกาแฟไม่ใช่ยาครอบจักรวาลที่จะบำบัดสารพัดโรค และยิ่งไม่ใช่กรรมวิธีเพื่อการลด
น้ำหนัก หรือแม้กระทั่งถือเป็นสรณะในการรักษาอาการท้องผูก ข้อบ่งชี้ของการสวนกาแฟ - ใช้คู่กับการอดเพื่อ
สุขภาพ ช่วยล้างพิษจากร่างกายให้ดีขึ้น - สำหรับคนที่ถูกพิษมาเฉียบพลัน เช่น ผงชูรส ควันรถยนต์ ควันบุหรี่ -
รักษาภูมิแพ้ ไมเกรน ภูมิเพี้ยน เช่น SLE รูมาตอยด์ หอบหืด - อาการที่แสดงถึงภาวะสะสมสารพิษในร่างกาย - ผู้
ป่วยมะเร็ง เพื่อลดสารก่อไข้ที่ก้อนมะเร็งซึมซ่านออกมา ช่วยลดผลข้างเคียงของเคมีและรังสีบำบัด สวนกาแฟผิด ...
คิดไปอีกนาน อันตรายของการสวนกาแฟไม่ถูกวิธีคือ - ติดเชื้อ จากการใช้อุปกรณ์ประเภทถุงพลาสติกที่อมคราบ
ความชื้นอยู่ภายใน - ต้องพิษกาแฟ เพราะใช้กาแฟมากเกินไป ใช้ถึงครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ พิษเฉียบพลันทำให้ใจสั่น
พิษระยะยาวทำให้เสพติดกาแฟ และอาจทำให้ตับทำงานหนักจนเกินขอบเขต - เสียเวลาต้มกาแฟ - อันตรายจากน้ำ
ร้อนลวกลำไส้ เนื่องจากการใช้กาแฟชนิดต้ม และเนื่องจากการใช้ถุงสวน ถุงที่เป็นพลาสติกเป็นฉนวนกั้นความ
ร้อน ทำให้เมื่อสัมผัสภายนอกแล้ว ไม่รู้อุณหภูมิที่แท้จริงของน้ำในถุง คนที่ถูกน้ำร้อนลวกลำไส้จะมีอาการต่อไปนี้
คือ - ปวดมวนท้อง - ปวดถ่วงอยากถ่าย - ถ่ายเป็นมูก บางคนถ่ายหลายๆครั้งติดๆกัน - การสวนกาแฟในคนที่ร่าง
กายมีสารต้านอนุมูลอิสระไม่เพียงพอ เช่นวัยรุ่นที่กินแต่อาหารขยะ แล้วสวนกาแฟตามแฟชั่น จะเกิดอาการคั่งพิษ
ในตับ เกิดอาการเปลี้ยเพลีย มึนหัว การสวนกาแฟจึงพึงสงวนไว้ใช้ในหมู่ผู้รักสุขภาพเท่านั้น วัยรุ่นกินแต่ Junk
food จึงไม่ควรมาสวนกาแฟให้เสียสถาบัน เพื่อป้องกันปัญหาคั่งพิษในตับ ก่อนสวนจึงควรกินขมิ้นชัน 5 เม็ด
ลูกกลอน (หรือ 3 แคปซูล) ร่วมกับโสม 1 เม็ด ใครบ้างไม่ควรสวนกาแฟ - เด็กวัยเจริญเติบโต - หญิงมีครรภ์ - ผู้
แพ้กาแฟ จะเกิดอาการปวดมวนท้อง - ผู้ที่ความดันเลือดสูงวิกฤต และยังควบคุมไม่ได้ เช่นสูงเกิน 160/100 มม.
ปรอท - ผู้ที่เพิ่งผ่าตัดลำไส้มายังไม่ถึง 1 เดือน ควรรอให้รอยผ่าตัดลำไส้ได้สมานคืนดีๆเสียก่อน - ผู้ที่ถูกฉายรังสี
บริเวณท้องน้อย เยื่อบุลำไส้อาจได้รับผลกระทบทำให้มีความระคายเคืองมากอยู่แล้ว อุปกรณ์การสวน ...ข้อพึงสัง
วรณ์ - ชุดสวนแบบถุงพลาสติก อาจมีอันตรายจากความชื้นที่หมักหมม ทำให้เกิดเชื้อรา - ชุดสวนแบบเป็นกระเป๋า
น้ำร้อนดัดแปลง อาจมีสารโลหะหนักหลุดออกมาจากเนื้อยางเข้าสู่ลำไส้ - ชุดสวนที่ทำจากขวดน้ำพลาสติกใสๆ
(ขวด PET) เคยมีข่าวส่งกันทางอินเตอร์เนต พบว่าเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งใช้ขวด PET กรอกน้ำดื่มเพื่อใช้ซ้ำๆ ใน
ภายหลังเด็กคนนี้เสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ การใช้ขวด PET จึงมีข้อพึงสังวรณ์ - ชุดสวนมาตรฐานแบบ
สเตนเลส ล้างทำความสะอาดให้แห้งได้ ใช้ได้ทนทานตลอดชีพ - ชุดสวนมาตรฐานแบบพลาสติก ล้างทำความ
สะอาดให้แห้งได้ เบาสบาย พกสะดวก โปร่งใสสามารถกะปริมาณน้ำกาแฟได้ กาแฟใช้สวน...อย่างไหนเหมาะ
หรือไม่เหมาะ - กาแฟบดธรรมชาติซองละ 2 ช้อนโต๊ะ ต้องต้มเสียเวลา และมัก Overdose เพราะปกติคนเรา
ชงกาแฟเพียงครั้งละ 1 ช้อนชา การใช้ครั้งละซองคือ 1 ช้อนโต๊ะเสี่ยงที่จะเกิดการต้องพิษกาแฟ - กาแฟผงธรรมดา
ซองละ 2 ช้อนโต๊ะ ใช้แช่น้ำร้อน ยิ่งคุมโด๊สได้ลำบาก - ปัจจุบันมี กาแฟสวน ชนิดใหม่ สำเร็จรูปชนิดซองละ 2.5
กรัม ใช้สะดวก ใช้น้ำอุ่นอาบน้ำธรรมดาละลายน้ำใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องต้ม สวนกาแฟต้องต่อย Vitamin B
ใส่ลงไปหรือไม่ คนเราจะทำอะไรก็ต้องหาความรู้และใช้อย่างสมเหตุผล ใครที่ทำเช่นนั้นเคยถามเจ้าของตำรับ
หรือไม่ว่า ต่อยลงไปเพื่ออะไร ถ้าจะบอกว่าเพื่อให้ดูดซึมไปให้ตับได้ใช้ ปัญหามีอยู่ว่าวิตามินบีที่ทางเภสัชกรรมเขา
ทำไว้สำหรับฉีด เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่ายาหลอดนั้นจะมีอัตราการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายทางลำไส้ใหญ่ได้ขนาด
ไหน และเมื่อมันถูกเจือจางอยู่ในน้ำทั้ง 1 ลิตร จะมีโอกาสสัมผัสลำไส้เพื่อดูดซึมได้เพียงใด เพราะบางคนกลั้นไว้
ได้ครู่เดียวก็ต้องลุกขึ้นถ่ายทิ้งเสียแล้ว ก็เหมือนเอาวิตามินบีมากลั้วคอแล้วบ้วนทิ้ง จะมีประโยชน์อะไร ถ้าต้องการ
วิตามินบี ก็ใช้ชนิดเม็ด กินเข้าไปทางปาก ทางเภสัชกรรมทำไว้พร้อมสำหรับการดูดซึมทางกระเพาะอยู่แล้ว แถม
ถูกสตางค์กว่ากันมากมาย การต่อยวิตามินบีใส่น้ำกาแฟเพื่อสวน ก็เป็นเพียงการ ทำเท่ ประการหนึ่งเท่านั้น
กับดักสุขภาพประการที่ 10 - กินอาหาร 5 หมู่ อาจป่วยง่าย ตายเร็ว
คำว่า "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่" ดู เหมือนจะกลายเป็นป้ายโฆษณา ที่ใครต่อใครซึ่งสอนคนให้สุขภาพดีจะ
ต้องแขวนไว้ แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว เนื้อหา
ของคำว่ากินอาหาร 5 หมู่ เกือบจะไม่ต่างไปกับ "เชิญกินไปตามสบาย ปล่อยให้สุขภาพเป็นไปตามยถากรรม" มีใคร
บ้างในสมัยนี้ไม่กินอาหาร 5 หมู่? ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ว่า กินอย่างไหนในสัดส่วนเท่าไหร่ต่างหากเล่า ความเป็น
มาของการชูคำขวัญ "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่" มีประวัติความเป็นมาที่เข้าใจได้ กล่าวคือ สมัยที่ประเทศไทยยังด้อย
พัฒนา คนบ้านนอกยังมีอาหารไม่พอกิน แถมมีความเชื่อเรื่องห้ามกินของแสลง เช่น หญิงหลังคลอดให้กินแต่ข้าว
กับเกลือ จึงบังเกิดผลให้คนไทยขาดอาหาร เด็กเล็กมีอาการพุงโรก้นปอด บ้างก็ตัวบวม ขาดทั้งแคลอรีทั้งโปรตีน
บ้างขาดวิตามิน ป่วยเป็นโรคเหน็บชา ตาบอดกลางคืน ลักปิดลักเปิด ด้วยเหตุฉะนี้จึงมีความจำเป็นในสมัยนั้นที่จะ
ต้องระดมให้คนไทยกินโปรตีน และอาหารอุดมวิตามินเพิ่มขึ้น ครั้นจะเน้นแต่สารอาหารอย่างหนึ่งอย่างใดเพียง
ชนิดเดียวย่อมไม่ถูกต้อง จึงเกิดเป็นคำขวัญให้คนไทย "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่" นั่นเป็นคำขวัญที่สอดคล้องกับยุค
สมัยที่คนไทยส่วนข้างมากป่วยเป็นโรคขาดอาหาร ทีนี้พอสังคมเปลี่ยนไป การพัฒนาประเทศทำให้เราผลิตอาหาร
จนส่งออกไปเลี้ยงคนทั่วโลก เรากลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ การค้าพาณิชย์เจริญขึ้น เกิดศูนย์การค้า เกิด
อาหารสำเร็จรูป เกิด food center แล้วก็เกิดค่านิยมแบบบริโภคนิยม กินกันไม่อั้น เวลาพบปะสังสรรค์ก็เจอ
กันที่ร้านอาหาร การเจรจาธุรกิจบางทีก็อาศัยโต๊ะอาหารเป็นที่เจรจา อาการป่วยเจ็บด้วยบริโภคนิยมจึงตามมา ได้แก่
โรคอ้วน ไขมันเลือดสูง ความดันเลือดสูง โรคหัวใจ ภูมิแพ้ แม้กระทั่งมะเร็ง และโรคสำคัญๆกลุ่มนี้กลายเป็น
สาเหตุการตายอันดับต้นๆของประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย การยังคงมุ่งชูแต่คำขวัญ "กินอาหาร
ให้ครบ 5 หมู่" จึงไม่น่าจะสอดคล้องกับปัญหาสุขภาพแห่งยุคสมัยอีกต่อไป เพราะนักธุรกิจกินสเต็กเนื้อสัน นาย
ห้างกินโต๊ะจีน วัยรุ่นกินฟ๊าสต์ฟู้ด ชาวหอกินบะหมี่ซอง ต่างก็คิดว่าตนเองกำลังกินอาหาร 5 หมู่กันทั้งนั้น แต่แท้ที่
จริงแล้ว พฤติกรรมดังกล่าวล้วนนำพาพวกเขาไปสู่ภาวะ "ป่วยง่าย ตายเร็ว" เหตุการณ์เช่นนี้มิได้เกิดขึ้นเฉพาะใน
ประเทศไทย แต่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาก่อนหน้านี้ประมาณ 15-20 ปี และนั่นเป็นสาเหตุให้ชาวอเมริกันตื่นเต้น
กันมากที่มีชาวตะวันออกบางคน เข้าไปในอเมริกาบอกให้กินอาหารแนวอื่น ที่หักหัวเลี้ยวความเชื่อของชาวตะวัน
ตก แต่กลับทำให้สุขภาพดี เช่นแล้วบอกให้กินสาหร่าย กินปลา กินเต้าหู้ นั่นคือความโด่งดังของอาหารแม็คโครไบ
โอติกส์ โดยมิชิโอ คูชิ ชาวอินเดียอีกบางคนเช่นมหาริชชี มเหสโยคะได้ไปโน้มนำอเมริกันให้กินมังสวิรัติ ฝึกโยคะ
นั่งสมาธิ ก็เป็นที่ต้อนรับ จนกระทั่งเกิดผู้นำสุขภาพคนอื่นๆเช่น นอร์แมน วอล์กเกอร์ แอน วิคมอร์ โรเบิร์ต เกรย์
เลสลี เคนตัน ซึ่งเสนอกินเพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารกระทั่งการอดเพื่อสุขภาพ เพื่อล้างพิษจากร่างกาย แพทย์อีก
หลายคนในอเมริกา เช่น นพ.ดีน ออร์นิช นพ.ดีภักดิ์ ชูพระ นพ.แอนดรู ไวล์ เสนอหนทางสุขภาพอันหลากหลาย
ซึ่งแตกความคิดไปจากการกินอาหาร 5 หมู่ แต่กลับพิสูจน์ว่ามิเพียงป้องกันโรค แต่รักษาโรคได้ด้วยซ้ำ ในที่สุด
สถาบันสุขภาพแห่งชาติอเมริกัน หรือกระทรวงสาธารณสุขของเขาก็ทนไม่ไหว จึงลุกขึ้นมาเสนอหลักชั่งตวงวัด
ปริมาณอาหารแต่ละหมู่เพื่อสุขภาพ อย่างแคเธอรีน โวเตกีเสนอให้กินผักสดผลไม้ให้ได้ 5 ส่วนบริโภคต่อวัน เพื่อ
จะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอเพื่อป้องกันโรคเสื่อม ความคิดใหม่ๆเหล่านี้ทำให้คำขวัญที่ว่า "กินอาหารให้
ครบ 5 หมู่ เพื่อสุขภาพดี" เสื่อมความหมายลง ท่านผู้อ่านลองตรองดูง่ายๆก็ได้ว่า ตัวเราเองอาจกินอาหารครบ 5 หมู่
แต่กินไปกินมา ทำไมเกิดโรคไขมันเลือดสูงขึ้นได้ คุณพ่อของเรา กินอาหารก็ครบ 5 หมู่ แต่กินไปกินมาทำไมกลาย
เป็นโรคหัวใจได้ล่ะ คุณแม่ของเรากินอาหารครบ 5 หมู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็กลายเป็นเบาหวานไปซะแล้วส่วน
คุณลุงข้างบ้าน ก็ท่องจำการจำแนกอาหาร 5 หมู่จนขึ้นใจ แต่กินไปกินมา ไหวกลายเป็นมะเร็งไปซะแล้ว แสดงว่า
"การกินอาหารครบ 5 หมู่" ไม่ได้ช่วยให้คนเราสุขภาพดีอย่างแท้จริง ดร.เจฟฟรี บรานด์ ผู้นำสุขภาพอีกคนหนึ่งใน
สหรัฐอเมริกาเคยมาบรรยายที่เมืองไทยเมื่อ7 ปีก่อน เขาบรรยายท่ามกลางแพทย์พยาบาลทั้งหลายว่า "ขอโทษทีเถอะ
ครับ ถ้าผมจำต้องกล่าวว่า คำว่ากินอาหาร ครบ 5 หมู่นั้นไม่เป็นที่พูดถึงกันอีกต่อไปแล้วในสหรัฐอเมริกา แต่ทุก
วันนี้ชาวอเมริกันกำลังพูดถึง functional food ต่างหาก" Functional food หมายถึงสิ่งที่กินเข้าไป
แล้ว เกิดผลมีปฏิสัมพันธ์กับร่างกาย ทำให้เกิดการบำบัดโรคอาหาร functional food เป็นอาหารที่อุดมด้วย
ผัก ผลไม้ ซึ่งมีแอนติออกซิแดนต์ในความเข้มข้นสูง แถมพืชผักอีกหลายตัวยังมีสารกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า phyto-
nutrient ซึ่งกินเข้าไปแล้ว เข้าไปออกฤทธิ์ 3 ประการกับร่างกาย 1.เป็น immuno stimulator กระตุ้น
ภูมิต้านทานของร่างกาย 2.เป็น cancer blocker ยับยั้งการออกฤทธิ์ของสารก่อมะเร็ง 3.เป็น anti
mutagenic agent ป้องกันไม่ให้เซลล์ดีๆกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็ง สำหรับประสบการณ์ของศูนย์
ธรรมชาติบำบัดบัลวี เราค้นคว้าเรื่องแนวทางการกินอาหารสุขภาพมาเกือบ 30 ปีแล้วพบว่า ยุคสมัยนี้การกินอาหาร
เพื่อสุขภาพต้องกินให้สอดคล้องกับสภาพสุขภาพเฉพาะของแต่ละคน รวมเรียกว่า "อาหารธรรมชาติบำบัด"
จำแนกได้ดังนี้คือ: 1.สำหรับบุคคลทั่วไป การกินอยู่อย่างไทย ได้แก่กินข้าวกล้อง กินผัก กินปลา กินน้ำพริก ช่วย
สร้างเสริมสุขภาพได้เป็นอย่างดี 2.สำหรับคนอ้วน ไขมันเลือดสูง นอกจากกินอยู่อย่างไทยแล้ว ให้รู้จักการอดเพื่อ
สุขภาพเป็นระยะๆ เช่น อดล้างพิษ 10 วันทุก 6 เดือน สลับกับการอดล้างพิษ 1 วัน ทุก 1 หรือ 2 สัปดาห์ ช่วยลด
ความอ้วน ลดไขมันเลือดได้ 3.สำหรับคนเป็นเบาหวาน ใช้หลักกินเนื้อกินผัก งดข้าว งดผลไม้ ด้วยเวลา 3 เดือน
เพื่อให้ตับอ่อนได้พัก แล้วค่อยปรับเพิ่มอาหารคาร์โบไฮเดรต ก็ช่วยบำบัดเบาหวานได้ 4.สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ใช้
อาหารต้านมะเร็ง กินข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ งดเนื้อสัตว์ ไขมัน 6 เดือน ถึง 2 ปี เป็นปัจจัยหนึ่งในการรักษามะเร็ง โดย
ตวงปริมาณโปรตีนด้วยเต้าหู้หรือไข่ขาวเป็นรายๆไป เหล่านี้ต้องปรับเปลี่ยนไม่ให้ตายตัว ภายใต้การดูแลแนะนำ
ของแพทย์ธรรมชาติบำบัด ก็ช่วยรักษาแต่ละโรคได
- รายละเอียด
- ฮิต: 12615
วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิด ต่างๆ
อาการของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวด
และมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด นื้อเยื่อจากบริเวณดัง
กล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ ได้
2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมี
อาการบวมในช่อง ท้อง
3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออนหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศ สัมพันธ์ > มีปัญหา
เกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลง
4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือ
มีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหาร ปวด ตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบาง
ครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง
5. มะเร็ง ปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้?หนักลดอย่าง ฮวบฮาบ
เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6. มะเร็ง ตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้
ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
8. มะเร็ง สมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมอง
เห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดย
กะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็น
พิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา
หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือ เป็นเวลานาน
10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมี
การขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึก ได้
11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่
ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมี
ก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะ
ผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจาก
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวม
นั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกัน แน่
13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือด
ออกปนมากับอุจจาระ
**** ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิช ชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสด
นั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการ
ติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลา
นานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่
เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma ) คือ เนื้อ งอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝ
ถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ
- รายละเอียด
- ฮิต: 4787
“ตะลึง”....คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่า เวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้.....อย่างน่าตกใจ!!!
บางศพ มีน้ำหนักอุจจาระถึง 10 โล… แล้วเป็นเพราะอะไร ???
เค้าว่า “อุจจาระตกค้าง ” อุจจาระตกค้าง เนื่องมาจาก
1. เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด
2. กินอาหารที่มีกากใยน้อย
3. มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ
4. ระบบดูดซึมเสีย เพราะน้ำมันพืชเคลือบ ทำให้น้ำที่ดื่มเข้าไป ไม่หมุนเวียน
5. ไม่ถ่ายอุจจาระเวลา 05.00-07.00 เช้า
หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้า ลำไส้จะบีบให้อุจจาระขึ้นไปข้างบน เวลาถ่าย จะถ่ายไม่หมด แต่ไม่รู้ตัว
ที่ปลายลำไส้จะมีประสาทปลายทวาร เมื่อมีอุจจาระที่เหลวพอ มาจ่อปลายทวาร ประสาทจะส่งสัญญานบอก
สมองให้ปวดอึ หลัง 7 โมงเช้า
ลำไส้จะทำงานไม่เป็นปกติ บีบอุจจาระให้ขาดช่วง เวลาถ่ายจนรู้สึกว่าหมดแล้ว เราก็หยุด แต่ความจริง
อุจจาระท้ายขบวนยังไม่ออก แต่มันถูกดันกลับขึ้นไป ไม่มาจ่อปลายทวาร ทำให้เราไม่ปวดอึ เราก็นึกว่าหมดแล้ว
อุจจาระที่ค้างไว้นี้ ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่า มันก็แซงหน้าไปก่อน แต่มันไม่สามารถดัน
พวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้ พวกที่ค้างแข็งไว้ ก็เกาะติดแน่น
ฉะนั้น ทุกวันที่ถ่าย มันก็ถ่ายเฉพาะอึที่เหลวพอ ส่วนที่เหลือ ก็เกาะไปเรื่อย ๆ อุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือด
ต่าง ๆในกระเพาะและ กดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมาย เช่น ท้องอืด ปวดหลัง ปวดขา ปวดกล้าม
เนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัว อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นฝ้า ไมเกรน และ อื่น ๆ
“นั่นแหละเป็นที่มา..ที่คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่า เวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจบางศพ
มีน้ำหนักอุจจาระถึง 10 กิโล”
การนำอุจจาระตกค้างออกจึงจำเป็นต้องหาว่าเป็นที่สาเหตุใด ใน 5 สาเหตุข้างต้นแต่ถ้าสามารถได้รับการ
ตรวจด้วยลูกดิ่งเพนดูลั่มก็จะรู้ได้ สำหรับท่านที่ไม่สะดวกในการเดินทางมาให้ตรวจก็แนะนำให้ถ่ายพยาธิเสีย
ก่อน แล้ว ลองสูตรอาหารดังต่อไปนี้
1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 30 นาที ดื่มก่อนนอน
เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา ทานเป็นปกติได้ทุกวัน หรือ 3-4วันต่อสัปดาห์ แล้วแต่จะชอบ
2. นมสด 2 กล่อง (รวมจะได้ประมาณ 500 มิลลิตร) และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก ทานก่อน 6 โมงเช้า ช่วงแรกควร
ทานติดกัน 3 วัน หากถ่ายก่อน 7 โมงเช้าเป็นปกติได้แล้ว ก็ลดมาเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือ ตามที่เห็นสมควร
3. ทานผักบุ้ง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบ ผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออกมา
- รายละเอียด
- ฮิต: 3586
กรุ๊ปเลือดกับการปฏิบัติตัว
กรุ๊ปเลือด A
สิ่งที่ควรทำ
1. ฝึกฝนการใช้ความคิดสร้างสรรค์และรู้จักแสดงความรู้สึกออกมาบ้าง
2. วางแผนการที่จะทำในแต่ละวัน
3. หาเวลาพักระหว่างวันทำงานอย่างน้อย 2 ช่วงๆ ละ 20 นาที ใช้เวลานั่งคิด
ไตร่ตรองสิ่งต่างๆ
4. รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ
5. บริโภคโปรตีนเพิ่มมากขึ้นในมื้อเช้าและลดปริมาณลงในมื้อเย็น
6. ไม่ควรกินเมื่อรู้สึกหงุดหงิด
7. เปลี่ยนมารับประทานอาหารมื้อเล็กๆ 6 มื้อ ต่อวัน แทน 3 มื้ออย่างเคย เพราะ
จำนวนครั้งที่ถี่มาก ขึ้นช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานดีขึ้น
8. หาเวลาครึ่งชั่วโมงฝึกจิตใจให้สงบสัก 3 ครั้งต่อสัปดาห์
9. หมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำเพื่อป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจ
10. เคี้ยวอาหารให้ละเอียดเพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
กินอย่างไร
คนที่มีกรุ๊ปเลือด A ควรงดนมสดรวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนยและชีส เพราะจะทำให้
รู้สึก แน่นท้อง เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หันมารับประทานผักใบเขียวและใบเหลืองอย่าง
ฟักทอง แครอท ผักขม บร็อคโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลืองซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่
มีโปรตีนสูงและ ช่วยป้องกันโรคมะเร็งด้วย ไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไปเพราะผู้ที่มีหมู่
เลือดนี้ จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดในกระเพาะ อาหารที่จำเป็นต่อการย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ดื่มชาเขียวเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้ ควรจำกัดน้ำตาล คาเฟอีน และ
แอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานใน
ร่างกายทำงานช้าลง
อาหารเช้าควรอุดมด้วยโปรตีน สำหรับคนกรุ๊ปเลือด A อาหารเช้าถือเป็นมื้อสำคัญที่สุด
และไม่ ควรอดอาหารเพราะจะก่อให้เกิดความเครียดได้ ออกกำลังกาย คนกรุ๊ปเลือด A จะมี
ปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดสูงมาก เนื่องจากร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาใน
ปริมาณสูง แต่ฮอร์โมนดังกล่าวสามารถลดลงถ้าได้ทำกิจกรรมที่ร่างกายต้องจดจ่ออยู่กับสิ่งๆหนึ่ง
อย่างโยคะ ไทชิ หรือฝึกสมาธิกำหนดลมหายใจ
จัดการกับอารมณ์
1. ระบายความรู้สึกออกมาถ้าต้องการอย่าเก็บกดเอาไว้
2. ก่อนจะเริ่มกิจกรรมหรืองานอื่นต้องจัดการสิ่งที่ยังคั่งค้างอยู่ให้เสร็จ
3. เด็ดเดี่ยว กล้าตัดสินใจการผัดวันประกันพรุ่งจะทำให้เกิดความเครียดได้
4. ใน 1 เดือน หาเวลา 1 วัน อยู่เงียบๆ เพียงลำพัง
5. หากออกกำลังกาย อย่าหักโหมต้องหยุดพักก่อนถึงขีดจำกัดของร่างกาย
กรุ๊ปเลือด B
สิ่งที่ควรทำ
1. สำหรับคนที่มีกรุ๊ปเลือดนี้จิตนาการเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่จะพาไป สู่ความ
สำเร็จได้ในยามว่างควรฝึกใช้จินตนาการเพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย
2. สังสรรค์สมาคมกับเพื่อนๆ คนรอบข้างหรือร่วมกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น สิ่งนี้จะเป็น
โอกาสช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในกลุ่มให้กับคุณ
3. จงทำตัวให้เป็นธรรมชาติ
กินอย่างไร
ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด B ควรบริโภคเนื้อสัตว์ที่ปลอดสารปรุงแต่งเจือปนและไม่ติดมัน หลายๆ
ครั้งใน 1 สัปดาห์เพราะคนหมู่เลือดนี้สามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดีไม่ควรบริโภคอาหาร ประเภทคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่ แต่นมและ
ผลิตภัณฑ์จากนมกลับเหมาะสำหรับคนกรุ๊ปเลือด B เป็นอย่างมาก ออกกำลังกาย ผู้มีกรุ๊ปเลือด
B ควรออกกำลังกายประเภทท้าทายร่างกายและจิตใจกิจกรรมที่เหมาะต้องเป็นประเภทที่ใช้สมาธิควบคู่กับการออกแรงมาก เช่น เทนนิส ศิลปะ
การต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล และกอล์ฟ
จัดการกับอารมณ์
คนกรุ๊ปเลือด B เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุล ก็จะสามารถขจัดความเครียด และความ
วิตกกังวลลงได้ แต่เมื่อใดที่ไม่อยู่ในสภาวะสมดุลระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้น และทำให้
มีโอกาสที่จะติดเชื้อไวรัส เกิดอาการเหนื่อยล้าเป็นเวลานาน จิตใจมัวหมองและภูมิคุ้มกันบกพร่อง
สิ่งที่ต้องทำ คือ ลดฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่ร่างกายหลั่งออกมาเพื่อตอบสนองต่อสภาวะเครียด
ด้วยการทำสมาธิและการใช้จินตนาการหากิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดสมาธิ ซึ่งไทชิจะเป็นตัวเลือกที่ดี
ที่สุดนอกจากช่วยลดความเครียดแล้วยังลดความดันโลหิต และทำให้รู้สึกผ่อนคลายช่วยให้
อารมณ์ดีขึ้น และอาจฟังดนตรี แนวที่ช่วยลดความเครียดหรือเพลงที่ทำให้เกิดจินตนาการ
กรุ๊ปเลือด AB
สิ่งที่ควรทำ
1. ฝึกฝนนิสัยเป็นมิตรของคุณโดยเปิดรับสิ่งใหม่ๆ รอบตัว และหลีกเลี่ยงสถานการณ์
ที่มีการแข่งขันสูง
2. เลิกหมกมุ่นกับปัญหาที่ไม่สามารถควบคุมได้หรือไม่ได้มีผลกระทบต่อคุณ
3. ฝึกใช้จินตนาการเป็นประจำทุกวัน
4. มีแผนการที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายที่ต้องการบรรลุโดยกำหนดเป็นรายปีเดือน
สัปดาห์หรือต่อวัน
5. ค่อยๆ เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตอย่าพยายามจัดการกับทุกสิ่งในเวลาเดียวกัน
กินอย่างไร
ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด AB ต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์สีแดงและไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ เนื่อง
จากร่างกายมีกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะอาหารและน้ำย่อยในลำไส้มีปริมาณน้อย ทำให้ย่อย
อาหารได้ยากเปลี่ยนมาบริโภคผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทนอาหารที่ควรเลี่ยง สำหรับคนกรุ๊ปเลือด A และ B ก็ควรจะเลี่ยงในผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด AB ด้วย
กัน เช่น ไม่ควรบริโภค คาเฟอีน และแอลกอฮอล์มากเกินไป เพราะคาเฟอีนจะไปกระตุ้นให้ร่าง
กาย หลั่งสารอะดรีนาลีน และนอร์อะดรีนาลีน ซึ่งคนกรุ๊ปเลือด AB มีมากอยู่แล้ว ไม่ควรอดอาหาร
เพราะจะทำให้เกิดความเครียด
ออกกำลังกาย
ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด AB ควรทำกิจกรรมทั้งประเภทที่ก่อให้เกิดความสงบนิ่งและใช้แรงมาก เช่น
โยคะ และ การเต้นแอโรบิค
จัดการกับอารมณ์
1. วางแผนล่วงหน้าว่าจะทำอะไรเพื่อช่วยลดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและไม่ให้เกิด
ความเร่งรีบจนทำอะไรไม่ถูก
2. หยุดพักในวันทำงานด้วยการทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวโดยเฉพาะถ้างานของ
คุณต้องนั่งอยู่กับที่ เพราะจะช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น
3. ปลีกเวลาไปตอบแทนสังคมบ้างเพราะคนกรุ๊ปเลือดนี้มีพื้นฐานเป็นคนใจบุญ
สุนทาน และเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมโลกซึ่งอาจใช้วิธีบริจาคเงินหรือสิ่งของให้แก่ผู้
ยากไร้
กรุ๊ปเลือด O
สิ่งที่ควรทำ
1. มีแผนการที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ โดยกำหนดเป็นรายปี เดือน
สัปดาห์หรือต่อวัน
2. หลีกเลี่ยงการตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ และอย่าใช้เงินเมื่อเกิดความรู้สึกเครียด
3. หากรู้สึกเครียดหรือหงุดหงิดพยายามทำให้ร่างกายเกิดความเคลื่อนไหว
4. เมื่อเกิดความอยากเหล้า บุหรี่ น้ำตาล และยานอนหลับ สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้ร่าง
กายหลั่งสารที่ทำให้เกิดความสุขในระยะแรกเท่านั้น ควรหากิจกรรมอย่างอื่นแทน
กินอย่างไร
อาหารประเภทโปรตีนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด O ควรรับประทานเนื้อสัตว์ต่างๆ
ให้มาก ยกเว้นหมู นมและผลิตภัณฑ์จากนมให้บริโภคแต่น้อย เพราะร่างกายจะย่อยได้ยาก จำกัด
ปริมาณการ บริโภคถั่ว รับประทานผักผลไม้ให้มากและเปลี่ยนมาดื่มชาเขียวแทนกาแฟ
ออกกำลังกาย
คนมีกรุ๊ปเลือด O ที่ออกกำลังสม่ำเสมอจะมีการตอบสนองต่ออารมณ์ดียิ่งขึ้น การเต้น
แอโรบิค วิ่งหรือปั่นจักรยาน ครั้งละ 30 - 45 นาที ประมาณ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยให้เกิดสภาวะ
สมดุลของอารมณ์
จัดการกับอารมณ์
1. กำหนดแผนการว่าจะทำอะไรเพื่อลดความซ้ำซากจำเจ เพราะเมื่อคนกรุ๊ปเลือด O
รู้สึกเบื่อพวกเขามักทำอะไรเสี่ยงๆ
2. ฝึกรับมือกับความโกรธด้วยวิธีการดังนี้เมื่อรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธ
ไปเดินเล่นสักพัก ดื่มน้ำ ออกกำลังหรือเขียนระบายความรู้สึกออกมา รอจนกว่าจะ
หายโกรธแล้วค่อยกลับมาจัดการกับปัญหา อีกวิธีคือเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา บ่อยครั้ง
ความโกรธมีสาเหตุมาจากการเสียความสามารถในการควบคุมเมื่อคุณเลือกที่จะแก้ปัญหามากกว่าจะระเบิดอารมณ์โกรธออกมา ก็จะสามารถ
ควบคุมระดับความเครียดในร่างกายให้คงที่ได้
----------------- END -----------------
- รายละเอียด
- ฮิต: 11831
นายแพทย์อารีย์ วชิรมโน
กับประสบการณ์รักษามะเร็งหายได้ด้วยตัวเอง
วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ : สัมภาษณ์

ปีนี้คุณหมออารีย์มีอายุได้ ๗๗ ปีแล้ว เป็นคนร่างเล็ก ผิวพรรณดี หน้าตาแจ่มใส
ดูราวคนอายุ ๕๐ ต้น ๆ หลายปีก่อนท่านป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายจึงตัดสินใจ
เดินทางกลัเมืองไทย คุณหมอเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในชนบท และตั้งใจสู้ชีวิตครั้ง
ใหม่ ต่อสู้กับมะเร็งด้วยการไม่ผ่าตัด ไม่ฉายรังสี ไม่ยอมให้คีโม แต่ใช้แนวทางแบบ
ธรรมชาติบำบัด โดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ให้กลับไปสู่ธรรมชาติให้ มาก
ที่สุด คุณหมอปฏิบัติตัวสม่ำเสมอ ตั้งแต่การเลือกกินอาหารเฉพาะผักผลไม้ การกิน
วิตามินเสริม การออกกำลังกาย การล้างพิษ การพักผ่อน ทำตัวให้อารมณ์ดีไม่เครียด
มองโลกในแง่บวก ความตั้งใจที่จะมีชีวิตต่อไป และที่สำคัญคือกำลังใจจากครอบครัว
สามเดือนผ่านไปคุณหมออารีย์รอดพ้นความตายจากมะเร็ง ทุกวันนี้คุณหมอใช้ชีวิต
ในบ้านไร่แห่งหนึ่งของจังหวัดสกลนคร คอยให้ความช่วยเหลือชาวบ้านยากจนที่ป่วย
เป็นมะเร็งในขณะที่มีผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายจากทั่วประเทศหลายคนเดินทางมา
หาท่าน คุณหมออารีย์บอกว่า คนเป็นมะเร็งส่วนใหญ่จิตใจจะห่อเหี่ยว และสิ้นหวัง
แต่ การรักษามะเร็งนั้นจิตใสำคัญที่สุดเราต้องทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีความหวังที่จะมี
ชีวิตต่อไป แต่ยอมรับว่าโอกาสที่ผู้ป่วยมะเร็งจะหายได้นั้น ท่านช่วยได้เพียงครึ่งเดียว
คือการ จัดหาวิตามิน เกลือแร่ชนิดต่าง ๆที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างภูมิต้านกิน ส่วน
อีกครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวคนไข้เอง ที่จะยอมปฏิบัติตามแนวทางการรักษา ๗ อ ของท่าน
หรือไม่
๗ อ ที่ว่านี้คือ ควบคุมอาหาร เอาพิษออกจากร่างกาย อารมณ์ดี ไม่เครียด สูด
อากาศบริสุทธิ์ เอนกายหรือการพักผ่อนให้เพียงพอและอิทธิบาทสี่ ผู้ป่วยมะเร็ง
หลายคนที่ได้รับคำแนะนำจากคุณหมอหลายคนเสียชีวิต แต่หลายคนที่ปฏิบัติอย่าง
จริงจังอาการดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆ คุณหมอบอกกับเราว่า มะเร็งไม่เคย
ให้โอกาสกับใครเป็น ครั้งที่ ๒ ขณะที่มะเร็งกำลังเป็นโรคฮิตที่ไต่ขึ้นอันดับหนึ่งใน
ยุคปัจจุบันลองพิจารณาบทสัมภาษณ์ครั้งนี้แล้วคุณอาจจะรู้ว่า จะเริ่มต้นดูแลสุขภาพ
อย่างจริงจังของคุณและคนใกล้ชิดอย่างไร
- คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านไหนครับ
ผมเป็นหมอผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ผมจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและ
ที่มหาวิทยาลัยมอสโกด้วย ผมสอนนักศึกษาปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ดมาเป็นเวลา๓๐ ปี

- ทำไมคุณหมอจึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย
ผมตั้งใจจะกลับมาตั้งนานแล้ว พอดีเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้ายทีแรกนึกว่าเป็นนิ่ว
ปัสสาวะมันขัด พอไปเอกซเรย์ดู ต่อมลูกหมากโตเบ้อเริ่ม เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งผมก็ตัดสินใจ
กลับมาตายเมืองไทย อยากกลับมาหาแม่ และอยากกลับมาอยู่ป่าเพราะอยู่ป่าคอนกรีตมา ๓๐ กว่า
ปีแล้ว ตอนเป็นมะเร็งหนัก ๆ จะตายแล้วลูกสามคนไปให้กำลังใจ ตอนนั้นผมคิดว่าคงอยู่ไม่
ถึงอาทิตย์
พอลูกเตือนสติว่า ไหนป๋าบอกว่าจะมีอายุอยู่ถึง ๑๒๑ ปีให้ได้ ป๋าผิดคำพูด สู้ไม่จริง ... นั่น
แหละ จึงได้คิดว่าจะลองสู้ดูสักตั้งไหม มะเร็งไม่เคยให้โอกาสคนครั้งที่ ๒ ผมไปซื้อรองเท้ามา
ฝึกเดิน แล้วคิด ว่าจะแก้เรื่องเครียดยังไง เพราะ ความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งทีเดียว คิด
ไม่ออก นอน ปลงอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ คิดว่าถ้ากูตาย ลูกจะรู้หรือเปล่า ใครจะไปบอก เพราะผมอยู่
ในป่าคนเดียว
จนกระทั่ง คิดหาวิธีแก้เครียดได้ คือการคิดแบบตรงกันข้าม เช่นมีคนมาลักวัวเรา ก็ไม่ต้องเครียด
ถือเสียว่าได้ชดใช้กรรมกันในชาตินี้ เพราะชาติที่แล้วกูไปลักของเขามาหรือมีคนด่าเรา ถือเราได้
บุญ เพราะช่วยให้คนที่ด่าเราหายเครียด ได้ระบายอารมณ์ พอคิดได้อย่างนี้ ตอนหลังคิดอะไร
เป็นตรงกันข้ามหมด คิดว่าเราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อลูกนะ และแม่เรายังอยู่ เราจะตายก่อนแม่ได้
อย่างไร และแม่เราเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่รู้จักรักษาสุขภาพตัวเองแต่เราเป็นหมอ จะมาตายกับ
โรคโง่ ๆ อย่างนี้ไม่ได้ เราอายแม่ อายหมาด้วย หมายังไม่เป็นมะเร็งเลย เมื่อมันเป็นแล้ว ถ้าเรายังแก้
ไม่ได้เราไม่ใช่คน แต่เราก็รู้ว่าการที่จะสู้ ต้องสู้ด้วยจิต ฝึกจิตให้ได้ เริ่มคิดไปในทางบวก อะไร
ก็ดีหมดทุกอย่าง
- มะเร็งนี่ถือว่าทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปเลย
ใช่ครับ แต่ก่อนผมเป็นคนดุมาก อารมณ์เกรี้ยวกราด ไม่ยอมคน เหี้ยมมากจนลือชื่อเลย ผมได้
คิดว่าความเหี้ยม สิ่งแวดล้อม บวกกับการกินอาหารซึ่งผมกินเนื้อแบบฝรั่งตลอดทำให้ผมเป็น
มะเร็ง แต่พอป่วย เรารู้ว่าจะหายจากมะเร็งได้จิตต้องเปลี่ยน นิสัยการกินต้องเปลี่ยนอย่างเด็ด
ขาดเท่านั้น แหละ ดีวันดีคืน ค่ามะเร็งลดลงอยู่แค่ ๗ จาก ๕๗๑ ซึ่งเป็นค่ามะเร็งระดับสูง
ผมรักษาตัวอยู่ ๓ เดือนกว่า หายเลย โรคอื่นก็พลอยหายไปด้วย เบาหวานก็ไม่เป็น โรคเกาต์ที่
ต้องกินยามา ๒๐ กว่าปี ตอนนี้หายหมด คิดถึงมันมากเลย คือเรา ไม่กินเนื้อ ไขมัน กินแต่ผัก ผลไม้
เกลือแร่และวิตามิน ผมอยู่ในป่า อาหารที่กินประจำ คือข้าวกล้องและใบบัวบก บางทีก็มีคนซื้อ
กล้วย ซื้อส้มมาฝากบ้าง
- ทำไมจึงกินเฉพาะข้าวกล้องกับใบบัวบกครับ
เพราะแถวนั้นไม่มีอะไรจะกิน เราอยู่คนเดียวในป่า ผมอ่านหนังสือเจอว่า คนอายุยืนที่สุดในโลก
เป็นคนจีน ชื่อศาสตราจารย์ลียุนชุง เกิดปี ค . ศ . ๑๖๗๗ ตายเมื่อปี ค . ศ . ๑๙๓๓ เขา
กิน
มังสวิรัติ ที่กินอยู่เป็นประจำคือโสมจีนและใบบัวบก ตอนอายุ ๒๐๐ ปียังไปบรรยายที่
มหาวิทยาลัยซินเกียง ๒๘ ครั้ง ท่านเสียชีวิตตอนอายุ ๒๕๖ ปี หน้าตาท่าทางเหมือนกับคนอายุ ๕๐
ปีแค่นั้น ท่านบอก ว่าเป็นเพราะ อาหารและความไม่เครียด ตามจริงถ้าจะรักษามะเร็ง กินแค่นั้นไม่
ได้ต้องกินวิตามินจำนวนมากช่วยด้วย แต่ว่าจิตเราได้ เราต้องอยู่เพื่อแม่นะ จิตเราต้องสู้นะ
วันนี้เดิน ๑๐ ก้าว พรุ่งนี้ต้องเดิน ๑๕ ก้าวให้ได้ มะรืนนี้ต้อง ๒๐ ก้าวให้ได้ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ฝึก
หายใจนะอยากจะมี ชีวิตอยู่ อยากจะหาย
แต่ก่อนมีความคิดว่าตายเมื่อไหร่ก็ช่างมัน ทรมานเหลือเกิน ไม่รู้อยู่ทำไม มีแต่สิ่งไม่ดีในโลกนี้
เบื่อหน่ายเหลือเกิน คือมองไปทางไหนก็เป็นลบหมด เดี๋ยวนี้มองอะไรเห็นเป็นสีชมพู สีเขียว สด
ชื่นไปหมด
คนด่าก็ยิ้ม มีความสุข ฉะนั้นทุกวันนี้ผมมองโลกในแง่บวก มะเร็งทำให้เราคิดว่า การสู้กับมะเร็ง
ใครชนะมะเร็งได้ เหมือนคนนั้นตรัสรู้แล้ว
พออาการมะเร็งเริ่มดีขึ้น ๆ รู้ทันทีว่าทำไมจิตใจเราเห็นอะไรดีไปหมด ผมไปสะดุดมีดสะดุด
พร้า เท้าแหกเลย เรายังขอบคุณมัน ที่ช่วยเตือนสติว่าจะเดินไปไหนต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว ที
หลังอย่าซุ่มซ่ามแบบนั้น คิดเสียว่าเป็นมะเร็งก็ดีนะ ถ้าไม่เป็นมะเร็งเราคงเป็นคนเหี้ยมโหด
เหมือนเก่า
- คุณหมอรักษาตัวอยู่ ๓ เดือนหายเลย ใช้วิธีคุมการกินอาหารและไม่เครียด... ใช่
ไหมครับ
อาหารเราต้องงดเนื้อสัตว์เด็ดขาดเลย งดอาหารปรุงแต่ง เนื้อปลาก็ไม่กิน ในช่วงนั้น เราต้อง
ถนอมตับที่สุด เพราะตับเป็นอวัยวะที่เป็นฐานทัพใหญ่ ถ้าตับเราไม่ดี เสร็จเลย ร่างกายจะฟื้นไม่
ได้
ตับสำคัญที่สุด วิธีถนอมตับคืออย่ากินมาก อย่าสะสมพิษให้ตับทำงานหนัก อย่าท้องผูก กิน
อาหารโปรตีน เข้าไปเยอะ ๆ ตับก็ทำงานหนัก เมื่อตับเราดี มันสามารถช่วยอย่างอื่นหมด
ไตก็ผลพลอยได้ประโยชน์ด้วย เดี๋ยวนี้หน้าตาเราสดใส เมื่อก่อนหน้าตาเราโทรม
ดังนั้นความเครียดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องจัดการให้ได้

- หากแก้ปัญหาเรื่องเครียดได้แล้ว โอกาสหายจากมะเร็งก็สูงขึ้น
ก็เรา เคยเห็นคนบ้าเป็นมะเร็ง เป็นเบาหวาน ความดัน หรือท้องเสียไหมล่ะ ขนาดเขาหาของกิน
จากถังขยะ เคยเห็นคนบ้าเป็นมาลาเรียหรือไม่ แต่อย่าไปตรวจเลือดนะ เชื้อมาลาเรียเต็มเลย
แต่เชื้อทำอะไรเขาไม่ได้ เชื้อโรคเหล่านี้ความจริงมันเป็นเพื่อนเรา ฉะนั้นจิตเป็นเรื่องสำคัญ ทำ
อย่างไรไม่ให้เครียด มีแม่ชีคนหนึ่งมาพบผม เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว ทีแรกบวชเพราะต้อง
การทำสมาธิ แต่ทำไม่ได้ คอยแต่คิดถึงกิจการโรงงานที่กรุงเทพฯ ห่วงลูกที่ยังเรียนหนังสือ ผม
บอกว่าปล่อยวางซะเถอะครับ ตัดเรื่องเครียดอะไรได้ ตัดเถอะ จากเดิมที่อาการหนักใกล้จะ
เสียชีวิตอยู่แล้วเพราะเป็นมะเร็งที่เต้านม แล้วเข้าปอด เข้าสมองแล้ว พูดก็เบลอๆ ปรากฏว่า
ตอนหลังปฏิบัติเรื่องจิตได้ ไม่เครียด ตอนนี้หาย ไม่มีอาการอะไรเลย เห็นว่าครั้งหลังสุดไปทำ
สแกนดู ปรากฏว่าเซลล์มะเร็งหดลงแทบมองไม่เห็นแล้ว สุขภาพก็ดี ตอนนี้จิตเขาสบายมากเลย
- เมื่อคนไข้หายเครียด มองโลกในแง่บวก ทำไมร่างกายจึงดีขึ้น
หากท่านสามารถทำให้จิตของท่านมองโลกในทางบวก หรือทำให้จิตของท่านมีสมาธิ ตัวจิต
นี้จะไป กระตุ้นต่อมพิทูอิตารี ให้หลั่งโกรทฮอร์โมนมา พวกนี้เป็นฮอร์โมนที่ซ่อมแซมส่วนที่
สึกหรอของร่างกาย ไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ ต่อมแอดดินอล ให้ขับแต่ฮอร์โมนชนิดดีๆ ออกมา
เพื่อจะไปกระตุ้นให้อวัยวะต่างๆ
ทำงาน จนกระทั่งต่อมต่าง ๆ ที่ผลิตภูมิต้านกินหรือเม็ดเลือดขาว ทำงานได้เต็มที่ คือ มันเริ่ม
มาจากจิต เมื่อจิตคิดดีทำดี หรือสามารถทำสมาธิได้ สมองส่วนนี้ก็จะขับฮอร์โมนที่เป็นประโยชน์
ออกมาทันที แต่ถ้าจิตมองโลกในทางลบ สมองส่วนนี้แทนที่จะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมน
ชนิดดีออกมามันไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้ผลิตฮอร์โมนอะดรินาลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกิดจาก
ความเครียด ทำให้ผลิตเม็ดเลือดขาวที่อ่อนแอออกมา แล้วอย่าลืมว่าโกรทฮอร์โมนประกอบไป
ด้วยกรดอะมิโน ๑๙๑ ชนิด แต่ท่านไม่ต้องเที่ยวหาซื้อกรดอะมิโนพวกนี้มากิน มันอยู่ที่ตับเรา
สามารถสังเคราะห์ได้หมดการที่จีน ฝังเข็มหรือกดจุดก็เพื่อต้องการให้ตัวนี้หลั่งคนไข้จะได้ไม่เจ็บ
ปวด
- ฝึกอย่างไรให้เป็นคนมองโลกในแง่บวก
คนที่เคยเครียดมาแล้ว จะเปลี่ยนทันทีไม่ได้ ผมหายจากมะเร็งได้ ผมโชคดีมาก อาทิตย์เดียวผม
เปลี่ยนจิตได้เลย มันเหมือนมีอะไรมาดลใจ รู้ทางเลย แต่ก่อนสอนนักศึกษา สอนได้หมด พอ
เจอกับ ตัวเอง ลืมหมด แก้ไม่ถูกเลย พอแก้ได้ อาทิตย์เดียว หน้ามือเป็นหลังมือเลยทั้งที่จะ
ตายอยู่แล้ว ตอนนั้นแหละที่ว่าผมหนัก มากๆ ลูกสามคนมาเยี่ยม ช่วงนั้นผมใกล้จะเสียชีวิต
แล้ว ลูกสามคนมาให้
กำลังใจ ผมก็คิดว่าถ้าเราจะสู้ซักตั้ง เราจะรอดมั้ย เพราะ มะเร็งไม่เคยให้โอกาสใครครั้งที่ ๒ อีก
เลย ก็ลองดู วันนั้นนอนหมดกำลังใจอยู่ ก็คิดได้ หลังจากนั้นไม่ถึงอาทิตย์ แก้เรื่องจิตได้ ก็
หายวัน หายคืน กระทั่งทุกวันนี้ ความเกลียดชัง ความเครียด หรือมีอะไรมากระทบจิตใจ อยู่
ในตัวผมไม่ เกิน ๑ นาทีเด็ดขาด ผมต้องแก้ให้ได้ เพื่อเปลี่ยนอารมณ์เป็นตรงกันข้ามทันที
พระพุทธองค์ท่านบอกว่า จิตอยู่ที่ไหน พลังอยู่ที่นั่น ไอน์สไตน์มีความเชื่อว่า พลังที่รุนแรงที่
สุด มีอำนาจที่สุดในโลกนี้ สู้พลังจิตไม่ได้ แม้แต่ตัวท่านเองที่สามารถคิดค้นปรมาณูได้ว่ามีพลัง
มหาศาลแต่ก็สู้พลังจิตไม่ได้ ท่านจึงหันมานับถือศาสนาพุทธ กินมังสวิรัติ เพื่อที่จะได้ศึกษา
เรื่องจิต ปรากฏว่าไม่มีใคร ที่จะให้ความรู้ให้ท่านได้เพียงพอเกี่ยวกับแนวทางการทำสมาธิ
ท่านก็เลยไม่สำเร็จ เสียชีวิตก่อน ผมติด ใจที่ไอน์สไตน์นับถือศาสนาพุทธทั้ง ๆ ที่เป็นยิว
- ตั้งแต่เป็นมะเร็ง คุณหมอไม่ได้รักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันเลยใช่ไหมครับหรือว่า
เคยรักษาแล้วแต่ไม่
ได้ผล ไม่รักษาเลย เพื่อนบอกว่าต้องผ่าตัดก็ไม่เอาเพราะมันไม่ใช่ทางนี้ คือเรารู้มาอย่างละเอียด
แล้วว่าเราชนะจิตใจเราได้มั้ย ถ้าเราควบคุมจิตเราได้ก็จบ แต่ถ้าเราควบคุมไม่ได้ เราก็ตาย ผมมี
เพื่อนเป็นโปรเฟสเซอร์ทั้งผัวเมีย เป็นมะเร็งตายทั้งคู่ เขารักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบัน คือผ่าตัด
และคีโม แต่ผมไม่เอา อันที่จริงผมสนใจเรื่องการรักษาแบบธรรมชาติมานานแล้ว แต่ไม่มี
โอกาสได้ใช้
จนกระทั่งเป็นมะเร็ง แล้วสนใจมาทดลองกับตัวเองจนหาย ตอนหลังมีโอกาสได้ใช้กับคนไข้เยอะ
มาก ก็เห็นว่ามีผลดีและหายแบบยั่งยืนเสียด้วยก็เลยศึกษามาเรื่อย ๆ
- หลักการรักษามะเร็งของคุณหมอนอกจากเรื่องความเครียดแล้วยังมีอะไรอีกบ้าง
วิทยายุทธ์ที่เราจะสู้กับมะเร็งอันดับแรก คือ หยุดการขยายตัวของมะเร็งด้วยการควบคุมอาหาร
อย่างแรกคือลดไขมันให้น้อยที่สุด เพราะ ไขมันเป็นอาหารอันดับหนึ่งที่มะเร็งชอบที่สุด ตาม
ปรกติในข้าว พืชผักทุกชนิด มีไขมันเพียงพออยู่แล้ว ที่เราเกิดโรคภัยไข้เจ็บทุกวันนี้เพราะไขมัน
เกิน ไขมันที่ เรากินทุกวันมันเกิด ออกซิไดซ์ เป็นอนุมูลอิสระหมดแล้ว เพราะการสกัดไขมันเรา
ใช้ความร้อน พอถูก
ความร้อน ไขมันมันเสีย และไขมันที่ใช้แล้วใช้อีกยิ่งหนักเข้าไปอีก อย่างพวกปาท่องโก๋ กล้วย
แขก พวกนี้ เป็นสารก่อมะเร็ง คนอ้วนเวลาเป็นมะเร็งจะลามเร็วมากเพราะมันได้อาหารมะเร็ง
เหมือนต้นไม้ เรา อยากให้ต้นไม้หยุดการเจริญเติบโต เราต้องหยุดให้น้ำหยุดให้ปุ๋ยมันจะชะงัก ใบ
ร่วงเลย แต่ต้นไม่ก็ยังไม่ตาย มนุษย์เราเหมือนกัน อย่าให้อาหารที่มะเร็งชอบอาหารอย่าง ต่อมา
ที่ต้องลดคือโปรตีนจากเนื้อสัตว์และพืชโดยเฉพาะถั่วเหลือง
เมื่อเรากิน โปรตีนเข้าไปมาก และร่างกายนำโปรตีนไปเผาผลาญแท็นพลังงานแล้ว จะเกิดของเสีย
คือแอมโมเนีย ตัวนี้เป็นตัวร้าย มันเวียนกลับไปทำให้ตับต้องทำงานหนักเพื่อเปลี่ยนเป็นยูเรีย ออก
มาทางไตเป็นส่วนมากและออกมาทางลำไส้ใหญ่ ทำให้อุจจาระมีกลิ่นเหม็นพิษจากลำไส้ใหญ่จะ
ถูกดูดซึมกลับเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้ระบบทุกอย่างในร่างกายขัดข้องหมดเลย คนท้องผูกจะ
หงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี ดังนั้น ตับกับไตทำงานหนักเพราะกินโปรตีนเข้าไปโดยเฉพาะคนที่เป็น
มะเร็งในตับต้องระวังที่สุด
- คนปรกติต้องการโปรตีนวันละกี่กรัมครับ
คนปรกติต้องการโปรตีนไม่เกิน ๓๕ กรัมต่อวัน ฉะนั้นคนที่เป็นมะเร็งลำพังโปรตีนที่ได้จาก
ข้าวกล้อง พืชผัก ผลไม้ก็พอเพียงแล้ว พออาการค่อยยังชั่วหน่อย เราก็กินเห็ดซึ่งมีโปรตีนสูง
และมีเกลือแร่มากที่สุด มีมากกว่าเนื้อแดงด้วยซ้ำ แต่เห็ดที่มีคุณภาพสูงมากที่สุดคือ เห็ดมิตา
เกะ ที่ญี่ปุ่นขายแพงมาก มันมีสารที่ป้องกันมะเร็งและสารที่สร้างภูมิต้านทานสูงมาก สารตัวนี้เป็น
โปรตีนชนิดหนึ่งแต่เป็นโปรตีนที่มีประโยชน์
อาหารอย่าง ที่ต้องลดคือแป้งขัดขาว น้ำตาล ของหวาน อย่างข้าวขาวนี่เวลาย่อยแล้วเปลี่ยน
เป็นน้ำตาลได้เร็วมาก หากเราใช้ไม่หมดมันจะถูกส่งไปเก็บไว้ในตับหรือในกล้ามเนื้อ เวลาร่าง
กายต้องการจะดึงกลับมาใช้อีก พอเหลือมันกลับไปเป็นไขมัน บางคนบอกว่าฉันไม่ได้กินไขมัน
เลย ทำไมฉันยังอ้วนก็ไม่รู้ ก็เล่นกินขนมขบเคี้ยวไม่หยุดของพวกนี้มันเปลี่ยนเป็นไขมัน ได้ตับ
เปลี่ยนไขมันหรือน้ำตาลเป็นโปรตีน และยังเปลี่ยนน้ำตาลกลับมาเป็นโปรตีนและไขมัน
- แป้งขัดขาวทำปฎิกิริยากับร่างกายอย่างไรครับ
เวลากินของหวาน กินข้าวขาวเข้าไป ร่างกายจะเปลี่ยนเป็น กลูโคส มาเลี้ยงสมองได้เร็วมากสด
ชื่นได้เร็วมาก ระดับน้ำตาลขึ้นปรู๊ดเลย พอน้ำตาลในเลือดมาก สมองจะกระตุ้นให้ตรงนี้ขับ
อินซูลิน ออกมา เพื่อเผาผลาญน้ำตาลที่กินเข้าไปให้เป็นพลังงาน วิตามินที่จะมาช่วยเผาผลาญ คือ
วิตามินบีคอมเพล็กซ์ แต่ข้าวที่เรากินเข้าไปไม่มีวิตามินบีเพราะขัดออกหมดแล้ว ฉะนั้นต้องดึง
วิตามิน
ในร่างกายออกมาเผาผลาญ ร่างกายเราก็ขาดวิตามินบี ทำให้ระบบประสาทเกิดเหน็บชาและตับ
อ่อนทำงานหนักที่สุด เพราะเมื่อกลูโคสขึ้น สมองไฮโปเทมัส ส่วนนี้สั่งให้ตับอ่อนผลิตอินซูลิน
ออกมาเพื่อเผาผลาญน้ำตาลให้ลดลง และมันผลิตออกมามากซะด้วย
แป๊บเดียวน้ำตาลลดฮวบเลย เพราะฉะนั้น พวกกินข้าวขาวหรือของหวานจะหิวไม่หยุด ยิ่งกิน
น้ำตาลมากเท่าไหร่ ตับอ่อนยิ่งทำงานหนัก ตอนน้ำตาลลด นี่จะอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิดเลย พวก
คนอ้วนเป็นเบาหวานต้องระวังจะดุมาก ตอนกินจะอารมณ์ดี พอถูกเผาผลาญหมด แป๊บเดียว
จะอารมณ์เสียแล้ว เหมือนที่โบราณเขาพูดว่า อยากให้หมาดุให้กินของหวาน ช่วงที่มันกินของ
หวานจะอารมณ์ดี แจ่มใส พอแป๊บเดียวมันหิวแล้ว ระวังให้ดี มันจะกัดได้ คนก็เหมือนกันเลย
ที่อเมริกาไม่รู้คุกไหน หลายปีมาแล้ว เขาแบ่งนักโทษฉกรรจ์เป็นสองพวกพวกหนึ่งให้หยุดกินของ
หวานหมดเลย กินแต่ขนมปังโฮลวีต อีกพวกหนึ่งให้กินแต่ของหวาน ปรากฏว่าภายในอาทิตย์
เดียว พวกแรกนิสัยใจคอเย็นลง ส่วนพวกหลังฆ่ากันเองตายหลายศพ
- คนที่เป็นโรคไหลตายมีรายงานว่าอาจจะเกิดจากการกินแป้งมากเกินไปด้วย
ส่วนมากโรคไหลตายเกิดจากหัวใจหยุดกะทันหัน พวกที่กินไขมันหรือกินของหวานมาก ๆ ก่อน
นอนหรือกินอาหารมื้อหนักก่อนนอน เมื่อมีไขมันมากอยู่แล้ว พอกินเข้าไปตอนกลางคืน ไขมันจะ
เพิ่มขึ้นสูงมาก จึงมีโอกาสสูงที่ไขมันจะอุดตันที่สมองหรือหัวใจ สังเกตว่าพวกที่ตายกลางคืนทั้ง
หลายก่อนนอนคืนนั้นมัก กินอาหารหนัก ส่วนมากเป็นคนที่มีไขมันในเลือดสูงอย่างเป็นความดัน
ก่อนนอนแทนที่จะกินอาหารเบาๆ หรือกินพืชผักผลไม้ เล่นกินอาหารหนักเลย พลังงานเมื่อไม่ได้
ใช้ ไขมันก็ขึ้นสูงหัวใจทำงานหนักเนื่อง
จากกระเพาะทำงานหนัก เรานอนปิดแต่ตาแต่ทุกอย่างยังทำงานหนัก พลังงานก็ไม่ได้ใช้ไขมัน
ไปเพิ่มอีก คนที่ไขมันมาก ๆ เส้นเลือดตีบอยู่แล้ว มันจะอุดตันตรงไหนก็ได้ ผมสังเกต ดูถ้า
คนสุขภาพดี ไม่กรน ไม่ได้เป็นโรคหัวใจกับเส้นเลือดมาก่อน และไม่ได้กินอาหารหนักก่อนนอน
คุณจะไม่เป็นเด็ดขาด แต่ส่วนมาก พวกที่ไหลตายเป็นคนอีสาน ชอบของหวานมาก การพักผ่อน
ก็ไม่พอ ก่อนนอนกินหนักมาก
- นอกจากน้ำตาลแล้ว เกลือก็ต้องลดด้วยใช่ไหม
โซเดียมคลอไรต์หรือเกลือต้องลดลงให้มากในร่างกายเราประกอบด้วยโซเดียมสูงมากอยู่แล้ว
แต่ถ้าเรากินเข้าไปมาก พอมันเข้าไปในกระแสเลือดมาก มันจะดูดน้ำในตัวเรา สังเกตพวกกิน
เค็มหรือ ไตไม่ดี เท้าจะบวม เกลือมันจะทำให้เลือดเราเป็นกรด คนที่สุขภาพดี เลือดต้องเป็นด่าง
นิดหน่อย แต่ถ้ากินเค็มเข้าไป เลือดจะเป็นกรดภูมิต้านทานจะไม่มีเพราะกินเกลือเข้าไปจะไป
ขับโปแตสเซียม ทำให้
เลือดไม่เป็นด่าง นอกจากลดกรดแล้ว ให้เพิ่มโปแตสเซียมเข้าไปในร่างกายเพื่อให้เลือดเป็นด่าง
เนื่องจากคนที่เป็นมะเร็งจะเครียด ไม่สบาย พอเครียด ร่างกายจะเกิดกรด จะมีคาร์บอนสูงมาก เรา
จึง ให้กินน้ำต้มผัก ซึ่งมีโปแตสเซียมสูงที่สุด ที่เราเจ็บ ร่างกายอ่อนเพลีย เพราะเราขาดโปแตส
เซียม แต่ถ้าตัวใดตัวหนึ่งมากเกินก็ไม่ดี เราต้องดูผลเลือด
การแก้เลือดเป็นกรด แก้ได้สองอย่าง กินพืชผักผลไม้ให้มากๆเพื่อเพิ่มโปแตสเซียม อีกอย่างคือ
หายใจเอาออกซิเจนเข้ามามากๆเพราะยิ่งออกซิเจนเข้าไปในเลือดมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เลือดเรา
เป็นด่าง แต่ถ้าเราไม่ฝึกหายใจเอาออกซิเจนเข้าไป เลือดเราเป็นกรด เพราะเลือดเราจะมีคาร์บอน
ไดออกไซด์สูงมาก พวกนี้จะปวดเมื่อยร่างกายมาก เขาจึงให้ฝึกหายใจเพื่อเอา คาร์บอน
ไดออกไซด์ ออกไป แล้วเอาออกซิเจนเข้ามา มันถึงจะหายปวดเมื่อย มนุษย์อดอาหาร ๔๕ - ๕๐
วันยังอยู่ได้ อดน้ำได้ ๓ - ๕ วัน แต่อากาศหายใจ ขาดเพียง ๘ – ๑๐ นาทีเท่านั้น
อาหารที่สำคัญที่สุดของร่างกายไม่ใช่สารอาหาร แต่เป็นออกซิเจนที่สูดเข้าไป ทำให้เลือดเราเป็น
ด่างการที่เรานิ่งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ออกกำลังกาย จะมีคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงมากทำให้เลือด
เป็นกรด มันจะเมื่อยล้า
- คุณหมอพอจะแนะนำหลักการหายใจอย่างถูกต้องได้ไหมครับ
เงยหน้าเพื่อให้อากาศเข้ามากที่สุด เวลาหายใจเข้าพยายามให้เข้าทางรูจมูกเท่านั้น เพราะมันจะ มี
เครื่องกรองคือขนจมูก และจะมีเยื่อเมือกๆ กรองด้วย การหายใจเข้าให้ปอดพองมากที่สุดสามค
รั้ง ติด ๆ กันเลย ครั้งแรก กลั้นไว้ ครั้งที่ ๒ กลั้นไว้ ครั้งที่ ๓ กลั้นไว้
เหมือนใจจะขาด พอครบสามครั้ง ค่อย ๆ โน้มตัวลง อ้าปากเอาพิษออกให้หมด ยิ่งทำบ่อยเท่า
ไหร่ ปอดท่านยิ่งมีพลังมะเร็ง
ปอดจะไม่เป็น เพราะออกซิเจนเข้าไปเต็มที่ ของเสียออกมาเต็มที่ ปอดมีความจุสองข้าง
ประมาณ ๓ ลิตรครึ่งถึง ๔ ลิตรครึ่ง แต่ถ้าเรายังหายใจแบบธรรมดาอยู่อากาศเข้าออกเพียงครึ่ง
ลิตรเท่านั้น บางทีของเสียไม่ได้ออกเลย เหมือนหม้อกรองอากาศไม่เคยเป่าหม้อกรองตัวเองเลย
ปอดของเราคือ หม้อกรองอากาศ เราต้องช่วยตรงนี้มาก ๆ เราเปลี่ยนปอดไม่ได้ แต่เราต้องบริหาร
การหายใจ จะทำให้ปอดมีประสิทธิภาพที่สุด
- แล้วพวกนักกีฬาที่ออกกำลังกายโดยการเตะฟุตบอล
นั่นไม่ใช่การออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์ แต่เป็นการออกกำลังกายที่เกิดโทษแก่ร่างกาย เป็ น
unaerobic เราต้องรู้ว่าการออกกำลังกายแบบ aerobic กับ unaerobic
เป็นยังไง การออกกำลังกายแบบ aerobic ร่างกายต้องเกิดด่างได้ออกซิเจน แต่
unaerobic ได้คาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ร่างกายเกิดกรด ร่างกายเสื่อม คนที่ไปเต้น
แอโรบิกทุกวันนี้ยังทำผิด เต้น ๆ แล้วเกร็ง เครียด กลัวจะไม่ถูกจังหวะ ชื่อแอโรบิก แต่ไม่ใช่
แอโรบิก แอโรบิกทำแบบไหนก็ได้ ไม่ต้องเครียดให้สนุกสนาน ถ้าเครียดร่างกายจะเกิดกรด
ฉะนั้นการแข่งกีฬาทุกวันนี้เป็นการทำลายสุขภาพ ทั้งสุขภาพกายและจิต คนไม่เล่นก็สุขภาพจิต
เสีย เพราะต้องลุ้นแข่งขันกันเครียดมั้ย ฉะนั้นนักกีฬาที่เล่น ทุกวันนี้นักฟุตบอล นักเล่นกล้าม
นักวิ่ง มีใครอายุยืน... ไม่มีเลย เพราะร่างกายมันเสื่อม มีการพิสูจน์แล้วว่า การออกกำลังกายที่
ดีที่สุดคือการเดินเร็วและให้ถูกแสงแดด เพราะมันไม่เครียด ไม่เหนื่อย ไม่เกร็ง และเป็นการออก
กำลังกายชนิดเดียวเท่านั้นที่ทำให้ระบบประสาทส่วนกลางได้สมดุล
- คนที่เป็นมะเร็งควรจะกินอาหารประเภทใด
อาหารธรรมชาติอย่างพืชผักผลไม้ มะเร็งไม่ชอบแต่มีวิตามินสูง คนเป็นมะเร็งต้อง
กินอาหารพวกนี้ คนที่เป็นมะเร็งส่วนใหญ่จะกินอาหารแบบนี้ได้น้อย จึงขาดพวก
เกลือแร่ เอนไซม์ วิตามิน ฉะนั้นหมอจึง แนะนำให้กินพวกเกลือแร่ วิตามิน เอน
ไซม์เข้าไปช่วย
สรุปแล้วคนเป็นมะเร็งต้องพยายามกินผักผลไม้เพราะต้องการให้ก้อนมะเร็งอด
อาหารแต่ไม่ให้ขาดเกลือแร่ วิตามิน เพราะมันจำเป็น ส่วนจะเป็นวิตามินประเภท
ใดก็ต้องให้หมอตรวจเลือด เพื่อจะรู้ว่าร่างกายเราขาดอะไรก่อน
- การหยุดขยายก้อนมะเร็งนอกจากการเลือกกินอาหารแล้ว
มีอะไรอีกครับ
ด้วยการกินวิตามินซี ตามหลักของแพทย์องค์รวม เขาบอกว่าวิตามินซีต้อง
ได้อย่างน้อย ๒๐ กรัมต่อวัน ในร่างกายเรามีเซลอยู่ประมาณ ๗๕,๐๐๐ ล้านเซล
เซลล์ดีจะมีเยื่อหุ้มเซลที่เรียกว่า....เหมือนเป็นเสื้อเกราะไม่ให้มะเร็ง เข้ามาทำลายได้
แต่ถ้าเซลไหนเป็นมะเร็งแล้ว เยื่อหุ้มเซลจะไม่มี แถมเซลมะเร็งจะสร้างเอนไซม์
ชนิดหนึ่งเรียกว่า... ซึ่งเป็นตัวร้าย เอมไซม์ตัวนี้จะไปทำลายเสื้อเกราะของเซลอื่น
ทำให้กลายเป็นมะเร็งต่อไปเรื่อย ๆ แต่พอวิตามินซีเข้าไปในกระแสเลือด มันจะไป
ทำลายเอนไซม์ตัวนี้ มะเร็งก็ไม่ขยายตัว นอกจากนี้วิตามินซีเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์
หรือสารต้านอนุมูลอิสระ มันช่วยลดความเครียดลงได้ ยกตัวอย่างเช่น คนไข้เจ็บ
ปวด เวลาฉีดวิตามินซี ทำไมคนไข้สงบเร็ว เพราะมันไปลดอีเอสอาร์ หรือลดตะกอน
เม็ดเลือดแดง ตะกอนเม็ดเลือดแดงมากเท่าไหร่ หมายความว่าเกิดการอักเสบหรือ
เกิดการเสื่อมของร่างกายมากขึ้นเท่านั้น คนปรกติให้กินวิตามินซี ๔-๕ พันมิลลิกรัม
ต่อวัน แต่ถ้าคนที่อยู่ในเมือง มีมลภาวะ อย่างน้อยต้อง ๖ พันมิลลิกรัมขึ้นไป ประเทศ
ที่กินวิตามินซีสูงมาก ประเทศนั้นสุขภาพเขาจะดีมาก แล้วหน้าตาเขาจะดี ประเทศ
ที่กินมากที่สุดคือสวีเดน รองลงไปคือรัสเซีย พวกนี้สุขภาพจะดีมาก ทั้งที่กินเนื้อสัตว์มาก
- เรากินวิตามินซีจากส้มเพียงพอหรือไม่
ท่านทราบหรือไม่ว่าส้มลูกหนึ่งมีวิตามินซีอยู่ ๑๐๐ มิลลิกรัม หมายความว่าต้องกินจากต้น
แต่ถ้าส้มหนึ่งลูก เก็บไว้เจ็ดวัน จะเหลือ ๑ มิลลิกรัมเท่านั้น วิตามินซีหายหมดเลย ดังนั้น
ถ้าคุณจะกินส้มให้ได้ ๔ พันมิลลิกรัม ต้องกินส้มสี่พันลูก กินวิตามินซีมากๆ ทางการแพทย์
บอกว่าอาจจะมีปัญหากับระบบปัสสาวะ วิตามินซีอยู่ในเลือดเราได้ ๒ ชั่วโมงแล้วจะถูก
ขับออกมา แต่ก่อน เขาบอกวิตามินซีพอกินเข้าไปปั๊บ ร่างกายเราจะเปลี่ยนเป็นออกซาลิกเอซิด
แล้วพอตกไปกระเพาะปัสสาวะ มันจะเป็นนิ่ว แต่เปอร์เซ็นต์มันน้อยเหลือเกิน ทฤษฎีมันว่า
อย่างนั้นจริง แต่อัตราการเกิด มีน้อยมาก เพราะปรกติมันจะออกมากับปัสสาวะ ถ้าเราดื่มน้ำ
มันจะออกหมด
- รายละเอียด
- ฮิต: 12106
รอบรู้เรื่อง การเผาผลาญพลังงาน ในร่างกาย
รอบรู้เรื่องการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย (อ.ส.ม.ท.)
ในความเป็นจริงเมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายของเราจะเผาผลาญแคลอรีลดลง ส่ง
ผลให้ผู้หญิงมักมีน้ำหนักขึ้นเฉลี่ยปีละครึ่งกิโลกรัมเป็นอย่างน้อย ซึ่งเราสามารถแก้
ปัญหานี้ด้วยการปรับตาราง เพื่อเผาผลาญแคลอรี่ไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มตามอายุ ต่อไปนี้
คือคำตอบจะบอกคุณได้
จริงหรือไม่ที่ว่า การดื่มน้ำปริมาณที่ถูกต้องช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้
จริง : ปฏิกิริยาสารเคมีในร่างกายทั้งหมดรวมถึงการเผาผลาญพลังงาน ขึ้นอยู่
กับน้ำถ้าขาดน้ำก็อาจเผลาผลาญแคลอรีน้อยลงไป 2% การศึกษาของมหาวิทยาลัย
แห่งหนึ่งจากการทดลองกับผู้ใหญ่ 10 คนที่ดื่มน้ำหลากหลายชนิดใน 1 วัน พบว่าคนที่
ดื่มน้ำขนาด 8 ออนซ์ วันละ 8-10 แก้วมีอัตราการเผาผลาญพลังงานสูงกว่าคนที่ดื่มแค่
4 แก้ว
เคล็ดลับ : ถ้าปัสสาวะเป็นสีเข้มแสดงว่าดื่มน้ำน้อย ให้พยายามจิบน้ำ 1 แก้ว
ก่อนมื้ออาหารทุกมื้อรวมถึงของว่างเพื่อให้มีน้ำในตัวเสมอ
จริงหรือไม่ที่ การไดเอตลดอัตราการเผาผลาญพลังงานตอนพักผ่อนของคุณ
ลงไป ทำให้ลดน้ำหนักยาก
จริง : ทุกกิโลที่ลด อัตราการเผาผลาญพลังงานตอนพักผ่อนของคุณลดลงวัน
ละ 2-10 แคลอรี ถ้าลดน้ำหนักไป 4.5 กิโล คุณต้องกินแคลอรีน้อยลงไปอีก 20-100
แคลอรีเพื่อรักษาหุ่นเพรียวเอาไว้ ไม่นับการออกกำลังกาย วิธีลดไขมันโดยรักษากล้าม
เนื้อให้คงอยู่ไว้คือ คือลดแคลอรี และเพิ่มการออกกำลังกายแบบแอโรบิก กับออก
กำลังกายแบบใช้แรงต้าน การกินแคลอรีน้อยกว่าวันละ 1,000 แคลอรีอาจส่งผลให้สูญ
เสียกล้ามเนื้อได้
เคล็ดลับ : ลดน้ำหนักด้วยการลดแคลอรีวันละ 250 และเผาผลาญ 250
แคลอรีด้วยการออกกำลังกาย จะช่วยให้คุณรักษาหรือเพิ่มกล้ามเนื้อได้ขณะลด
เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายออกไปได้มากขึ้นด้วย
จริงหรือไม่ที่ว่า ร่างกายคุณเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น เมื่อย่อยอาหารและ
เครื่องดื่มเย็นเฉียบ
จริง : แต่ก่อนที่จะตรงดิ่งไปกินไอศครีมขอบอกว่าความแตกต่างเล็กน้อยใน
แคลอรีไม่ส่งผลอะไรใดๆ ในโภชนาการของคุณหรอก มองในแง่ดี มีการศึกษาแนะว่า
การดื่มน้ำเย็นอย่างน้อย 6 แก้วต่อวันจะช่วยคุณเผาผลาญแคลอรีได้ 10 แคลอรี ซึ่ง
เท่ากับครึ่งกิโลต่อปีโดยไม่ต้องทำอะไรเลย
เคล็ดลับ : แม้ผลกระทบต่อการกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานจะน้อยนิด แต่
ไม่เสียหายจะดื่มน้ำเย็นเพื่อเพิ่มศักยภาพการเผาผลาญพลังงานนี่นา
จริงหรือไม่ที่ว่า อาหารเผ็ดร้อน จะช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงาน
จริง : พริกส่งความเผ็ดร้อนวูบวาบสามารถเร่งการเผาผลาญพลังงานและลด
ความหิวได้ การศึกษาพบว่าการกินพริกสับ 1 ช้อนโต๊ะ (ซึ่งเท่ากับเคปไซซิน 30 มก.)
ส่งผลการกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานชั่วคราวได้ถึง 23%
เคล็ดลับ : เหยาะพริกแดงสับในพาสต้าหรือสตูว์ พริกสดใส่ซัลซ่าได้อร่อย
และเสริมรสชาติอาหารหลายจานได้ดีนัก
จริงหรือไม่ที่ว่า การกินเกรฟฟรุตก่อนอาหารทุกมื้อช่วยเร่งการเผาผลาญ
พลังงาน
ไม่จริง : เกรฟฟรุตไม่ได้สร้างความมหัศจรรย์อันใดกับการเผาผลาญพลังงาน
ของคุณแต่ช่วยลดน้ำหนักได้ เกรฟฟรุตครึ่งลูกก่อนมื้ออาหารช่วยให้ลดน้ำหนักได้ 2
กิโลใน 12 สัปดาห์เพราะกากใยและน้ำทำให้อิ่มและช่วยให้กินน้อยลง
เคล็ดลับ : กินเกรฟฟรุตสดครึ่งลูกก่อนอาหารจานหลัก
จริงหรือไม่ที่ว่า การยกน้ำหนักช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานมากกว่าการ
ออกกำลังหัวใจ
จริง : เมื่อคุณออกกำลังยกน้ำหนักจะช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ 1.3 กิโล และเพิ่ม
การเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น 6-8% ดังนั้นเท่ากับเผาผลาญแคลอรีเพิ่มพิเศษวันละ
100 แคลอรี แต่การออกกำลังแบบแอโรบิกไม่ได้เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ วิธีเพิ่มมวลกร้า
มเนื้อคือ ออกกำลังกายแบบใช้แรงต้าน
เคล็ดลับ : เน้นการออกกำลังที่กล้ามเนื้อใหญ่สุดซึ่งจะช่วยสร้างมวลกล้าม
เนื้อได้ ท่าวิดพื้นและท่าที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวทั้งท่อนบนและท่อนล่างเวิร์กสุด
จริงหรือไม่ว่า เชอเลอรีเป็น "อาหารให้แคลอรีในทางลบ" เพราะการย่อยทำให้
ใช้แคลอรีมากกว่าปริมาณแคลอรีที่ได้รับ
ไม่จริง : การกินอาหารทำให้ร่างกายคุณเผาผลาญแคลอรีไปด้วยขณะทำการ
ย่อยอาหารและเครื่องดื่มต่างๆโดยขึ้นอยู่กับอาหารที่กิน เช่นโปรตีนต้องอาศัยแคลอรี
ในการย่อยมากกว่าคาร์บ เชอเลอรีขนาดกลางมีแค่ 6 แคลอรี
เคล็ดลับ : ใส่เซอเลอรีในสลัด ผัดผักหรือซุปเพราะเป็นอาหารมีประโยชน์มี
ส่วนผสมทาไลด์ที่ลดความดันโลหิตได้
จริงหรือไม่ที่ว่า ชาเร่งการเผาผลาญแคลอรีได้ตามธรรมชาติ
จริง : คาทีชินในชาเขียวและชาอูลงช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน การศึกษา
กับสตรีญี่ปุ่นเทียบผลกระทบจากการดื่มชาเชียว ชาอูลงหรือน้ำในวันต่างๆ พบว่าชาอู
ลง 1 ถ้วยใหญ่เพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้ถึง 10% ชาเขียว 4% เป็นเวลา 1.30
ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่าเผาผลาญ 50 แคลอรีต่อวัน
เคล็ดลับ : ดื่มชาเชียวหรือชาอูลงแทนกาแฟมื้อเช้าเพื่อให้คาเฟอีนปลุกการ
เผาผลาญพลังงานของคุณ บีบมะนาวใส่แทนนมเพื่อให้ดูดซึมคาทีชินได้มากขึ้นด้วย
จริงหรือไม่ที่ว่า อาการโหยก่อนมีประจำเดือน เกี่ยวพันกับการกระตุ้นพลังงาน
เผาผลาญก่อนประจำเดือนมา
จริง : อัตราการเผาผลาญพลังงานของเราที่พักอยู่จะเพิ่มขึ้นมาในระหว่าง
วงจรการมีประจำเดือน(วันหลังจากไข่สุกไปจนถึงวันแรกที่ประจำเดือนมา) การเผา
ผลาญพลังงานที่เราได้รับจากการมี "ฮอร์โมนพุ่ง" เทียบเท่ากับวันละ 300 แคอลรี ซึ่ง
เป็นเหตุให้ร่างกายเกิดความอยากอาหารขึ้นมาในช่วงนี้
เคล็ดลับ : จดบันทึกสิ่งที่คุณกินระหว่างสัปดาห์และในช่วงมีประจำเดือน
พยายามรักษารูปแบบการกินตลอดทั้งเดือนเพื่อให้ได้ประโยชน์จากการเผาผลาญ
แคลอรีที่เกิดจากฮอร์โมนผลักดัน ถ้าอยากอาหารให้ระวังปริมาณที่กินเข้าไป
จริงหรือไม่ที่ว่า ถ้าคุณมีเวลาจำกัด ควรออกกำลังกายแบบโหมหนักเพื่อให้
พลังงานเผาผลาญในภายหลัง
จริง : คนที่เคยออกกำลังกายแบบโหมหนักพบว่าอัตราการเผาผลาญพลังงาน
นานมากขึ้นในภายหลังเมื่อเทียบกับพวกที่ออกกำลังแต่พอประมาณ สามารถเผา
ผลาญแคลอรีได้ 10% ของแคลอรีทั้งหมดที่ใช้ไปในระหว่างการออกกำลังกาย 1
ชั่วโมงหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นถ้าคุณออกกำลังคอมโบทั้งเดิน จ๊อกกิ้ง 4 ไมล์
(ราว 400 แคลอรี)แทนแค่เดินเฉยๆ ก็อาจเผาผลาญแคลอรีเพิ่มได้ 40 แคลอรีในเวลา
อีก 2-3 ชั่วโมงข้างหน้า
เคล็ดลับ : เติมความเร็วในการอออกกำลังเพิ่มอีกนิด เพิ่ม 3 นาทีสัปดาห์ละ
3 วันโดยหยุดพัก 2 นาที
จริงหรือไม่ที่ว่า การกินโปรตีนมากขึ้นจะเร่งการเผาผลาญพลังงาน
จริง : โปรตีนมีข้อดีในการเร่งการเผาผลาญพลังงานเมื่อเทียบกับไขมันหรือ
คาร์บเพราะร่างกายต้องใช้พลังงานมากขึ้นในกระบวนการย่อย จากการศึกษาบอกว่า
คุณอาจเผาผลาญแคลอรีเป็น 2 เท่าในการย่อยโปรตีน ในอาหารทั่วไปแคลอรี 14%
มากจากโปรตีน ให้เพิ่มโปรตีนเป็น 2 (แล้วลดคาร์บแทนจะได้ไม่มีแคลอรีส่วนเกินเพิ่ม
ขึ้นมา) แล้วคุณจะเผาผลาญแคอลรีได้วันละ 150-200
เคล็ดลับ : กินโปรตีนมื้อละ 10-20 กรัม ลองโยเกิร์ตไขมันต่ำกับอาหารเช้า
(13 กรัม) กินฮูมูนเป็นอาหารกลางวัน (10 กรัม) และแซลมอนแล่เป็นอาหารค่ำ (17
กรัม)
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
ที่มา news-server
- รายละเอียด
- ฮิต: 3378
กิน เบต้าแคโรทีน มากไป เสี่ยงมะเร็ง
จากการตรวจดูในอินเตอร์เน็ตแล้ว จะพบว่ามีการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์อาหาร
เสริมเพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกาย โดยอ้างว่ามีส่วนผสมของ “สารต้านอนุมูลอิสระ”
ที่มีประสิทธิภาพสูง และมักระบุว่าไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ข้อมูล
เหล่านี้เป็นความจริงหรือไม่ การบริโภคอาหารเสริมอนุมูลอิสระอย่างต่อเนื่องและ
จำนวนมาก จะส่งผลต่อสุขภาพของเราอย่างไร เป็นคุณหรือเป็นโทษ … เป็นหลายคำ
ถามที่หลายคนอย่างรู้และควรต้องรู้
ดังที่ทราบกันดีกว่า สารต้านอนุมูลอิสระมีอยู่หลายชนิด และแทบจะมีอยู่ทั่วไป
ในอาหารทุกมื้อ ทั้งนี้ อาหารที่เรามั่นใจได้แน่นอนว่ามีสารชนิดนี้ คือ เมล็ดพืชทุก
ชนิด แต่สิ่งที่ควรระวังคือ เมล็ดพืชบางชนิดมีพิษ ดังนั้น สารพิษจึงอาจหลุดออกมา
พร้อมกับสารต้านอนุมูลอิสระได้
ส่วนที่มีความสงสัยกันว่า หากนำสารต้านอนุมูลอิสระมาทาผิวหนังจะได้
ผลหรือไม่นั้น พบว่า เป็นวิธีที่ได้ผลเช่นกัน แต่มีต้นทุนสูงกว่าการกิน เพราะการ
ผลิต ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่ผสมสารต้านอนุมูลอิสระนั้น ต้องมีการสกัดสารต้านอนุมูล
อิสระออกมาจากแหล่งต่างๆ แล้วนำไปผสมกับสารอื่นๆ จึงทำให้มีราคาแพงมาก เมื่อ
นำมาเทียบกับการกิน จะพบว่าต้นทุนการป้องกันอนุมูลอิสระด้วยการกินจะถูกกว่ากัน
มาก เนื่องจากระบบทางเดินอาหารของเรามีระบบสกัดสารที่มีประโยชน์ที่ดีที่สุดอยู่แล้ว
ประโยชน์ของการกิน “สารต้านอนุมูลอิสระ” จากอาหารยังมีอีก คือ หากเรา
รับสารต้านอนุมูลอิสระจากการกินอาหาร โอกาสที่จะได้รับสารนี้มากเกินความ
ต้องการของร่ายกาย จะน้อยกว่าการกิน “อาหารเสริม” เพราะอาหารเสริมจะมีสาร
นี้สูงมาก เนื่องจากอยู่ในรูปของสารเข้มข้น เราจึงควรคำนึงถึงวรรคทองของ “บิดาวิชา
พิษวิทยา” ไว้ให้ดีว่า… สารเคมีทุกชนิดมีทั้งประโยชน์และโทษ ขึ้นอยู่กับขนาดหรือ
ปริมาณที่บริโภคเข้าไป
นอกจากนี้ ใบพืช โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นสีเข้ม ไม่ว่าจะเป็นสีเขียว เหลือง
หรือแดง ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่เช่นกัน รวมทั้ง เปลือกผลไม้สุก ก็มีสารต้านอนุมูล
อิสระมากเช่นกัน โดยการจากวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวอินเดีย พบว่า เปลือกของ
มะม่วงสุกที่ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระมากพอ ที่ควรจะเก็บมาสกัดมาให้สาวๆ ทาน
เพื่อบำรุงผิว
ดังนั้น ถ้าเราไม่ต้องการได้รับสารต้านอนุมูลอิสระมากเกินไป การกินอาหาร
เป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยเรามีข้อมูลยืนยันว่าเรื่องนี้ จากการศึกษาเรื่องการใช้สารต้านอนุมูล
อิสระ “เบต้าแคโรทีน” เพื่อป้องกันโรคมะเร็งปอด ซึ่งผลการศึกษาพบว่า การให้ตำรวจ
จราจรในหลายประเทศทานอาหารเสริมสารต้านอนุมูลอิสระ แทนที่จะเป็น “การลด”
โอกาศการเกิดมะเร็งปอด กลับกลายเป็น “การเพิ่ม” อัตราการเกิดมะเร็งปอดให้มาก
ขึ้น!!!
เนื่องจาก สารเบต้าแคโรทีน คือ สารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-Oxidant) ที่เมื่อ
ร่างกายได้รับมากกว่าความต้องการ จะหันไปทำหน้าที่ในทางตรงกับข้าม โดยกลายตัว
เป็น “Pro-Oxidant” ซึ่งเป็นสารที่ส่งเสริม “การเกิด” อนุมูลอิสระ ด้วยเหตุผลเชิงชีวะ
เคมี
ด้วยเหตุนี้ การบริโภคเบต้าแคโรทีนในรูปแบบของอาหารเสริมที่มากเกินไป
อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ขณะที่การรับประทานอาหาร เช่น
มะละกอสุก ฟักทอง ตำลึง โอกาสที่ร่างกายจะได้รับสารนี้มากเกินไปจะเป็นไปได้ยาก
เพราะเราจะอิ่มก่อนได้รับปริมาณมากเกินไป โดยมีกระเพาะเป็นผู้กำหนด
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
ที่มา news-server
- รายละเอียด
- ฮิต: 4927

ไลฟ์สไตล์การทำงานของคนในสังคมปัจจุบัน ให้ลองสังเกตดูว่าวันหนึ่งๆ คุณลุกขึ้นมาเปลี่ยนท่าทางกันสักกี่ครั้งเชียว เช่น
ผู้บริหารก็มักจะนั่งเซ็นงาน,นั่งประชุม หนุ่มสาวออฟฟิสก็นั่งพิมพ์งานกันวันหนึ่งๆไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง ส่วนฝ่ายคุณแม่บ้านก็ใช้เวลานั่ง
อยู่ในรถเพื่อรับ-ส่งลูกไม่น้อยกว่า 4-5 ชั่วโมงต่อวันอย่างแน่นอน
แต่จะเคยนึกตระหนักกันบ้างมั้ยว่า...วันหนึ่งร่างกายของคุณอาจเริ่มรับไม่ไหวแล้วก็เป็นได้
แต่จะใช้มากไปหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่า คุณอยู่ในท่าทางแบบไหนนั่นเอง อาการหนึ่งที่จะเริ่มส่งสัญญาณความผิดปกติของระบบโครง
สร้างกระดูกกล้ามเนื้อ นั่นคือ อาการปวดเมื่อย
เพ็ญพิชชากร แสนคำ นักกายภาพบำบัด จากสถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย อริยะ (ARIYA WELLNESS CENTER) กล่าวว่า
ในภาวะปกติทุกครั้งที่ร่างกายมีการเคลื่อนไหวหรือการทำงาน กล้ามเนื้อจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว และกำหนดทิศทาง
ต่างๆตามความต้องการของจิตใจที่จะสั่งให้ทำ และในการหดตัวแต่ละครั้งกล้ามเนื้อจะต้องดึงเอาพลังงานที่สะสมอยู่มาใช้ในการเผา
ผลาญพลังงาน (Metabolism) ซึ่งทุกครั้งที่มีการหดตัวจะมีของเสียเกิดขึ้นคือกรดแล็คติก (Lactic acid) แต่ด้วยในกล้ามเนื้อจะมี
หลอดเลือดอยู่ภายใน และมีการไหลเวียนของเลือดเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ร่างกายถ่ายขับสารเสียออกมา และมีเลือดดีที่มี
ออกซิเจน ไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆได้ รวมถึงเลี้ยงกล้ามเนื้อด้วย แต่ตรงกันข้าม หากเป็นการทำงานที่เกิดขึ้นแบบซ้ำๆ ต่อเนื่องกันเป็น
เวลาหลายชั่วโมง จากนานวันเข้า กล้ามเนื้อจะเริ่มหดตัวอย่างเดียว ไม่มีการคลายตัว พอนานวันเข้าก็เริ่มเป็นพังผืดแข็ง หลอดเลือด
ถูกบีบรัด ทำให้ไม่มีการไหลเวียน เกิดการคั่งค้างของสารเสีย จากแค่อาการปวดเมื่อยเพียงเล็กน้อยก็เริ่มเป็นมากขั้นจนรู้สึกไม่สบาย
ตัว ไม่คล่องตัว ไม่สดชื่น เพลียง่าย ง่วงบ่อย หาวบ่อย หงุดหงิด หายใจไม่อิ่ม หายใจไม่คล่อง จนต้องหายากิน หรือหาที่นวดเพื่อให้
ผ่อนคลาย แต่อาการเหล่านี้จะกลับมาเรื่อยๆ เพราะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด ตรงสาเหตุที่เป็น ฯลฯ
ระบบกล้ามเนื้อเป็นระบบที่เป็นที่อยู่ของหลอดเลือด,น้ำเหลือง(ระบบขับของเสีย),ระบบประสาท หากกล้ามเนื้อไม่ได้อยู่ในภาวะ
ที่ปกติ เช่นหดเกร็ง รั้งอยู่ ไม่ใช่แค่ตรงจุดนั้นจะมีปัญหาเท่านั้น แต่จะเป็นชนวนที่จะลุกลามต่อเนื่อง เนื่องจากกล้ามเนื้อเชื่อมต่อกัน
ตลอดทั้งตัว และกล้ามเนื้อยังเป็นตัวคุมให้กระดูกอยู่ในแนวปกติ หากกล้ามเนื้อมีการรั้ง ดึง ไม่สมดุลกันทำให้โครงสร้างของร่างกาย
บิดเบี้ยวไป ไม่อยู่ในโค้งที่ปกติ จะทำให้กระทบถึงรากประสาท ซึ่งเป็นตัวนำคำสั่งจากสมองไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้การ
ส่งกระแสประสาทส่งไปสู่อวัยวะต่างๆ ได้ไม่เต็มที่ มีผลให้การทำงานของระบบต่างๆ เสื่อมง่ายลง ทำงานได้ไม่เต็มที่ หากรุนแรง
มากก็อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายแรงได้ โดยเฉพาะ อัมพฤกษ์อัมพาต หรืออาจถึงชีวิตได้ โดยที่ตัวคุณเองไม่คาดคิดมาก่อน
ผู้เชี่ยวชาญกล่าว
สำหรับวิธีการป้องกันนั้น นักกายภาพบำบัด แนะนำว่า ควรหลีกเลี่ยงไลฟ์สไตล์ที่ทำเป็นประจำและใช้งานร่างกายเป็นเวลานานๆ
เช่น คนที่นั่งทำงานคอมพิวเตอร์หลายชั่วโมงต่อเนื่องกัน ต้องปรับพฤติกรรมไม่ให้เพลินกับการทำงานมากเกินไป ประมาณครึ่งถึง
หนึ่งชั่วโมง ควรมีการเปลี่ยนอิริยาบทลุกขึ้นยืน เอามือประสานกันเหยียดขึ้นเหนือศีรษะค้างไว้สัก5-10 วินาที เอียงตัวไปซ้าย/ขวา
สัก 2-3 ครั้ง ลุกขึ้นเดินแล้วค่อยกลับมาทำงานใหม่
ส่วนพวกที่ชอบหิ้วกระเป๋าหนักๆ ก็ควรปรับเปลี่ยนท่าทาง ด้วยการใช้ศอกหิ้วกระเป๋าแทนการสะพายที่บ่า และสลับซ้าย/ขวาเพื่อ
ไม่ให้กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักมากเกินไป คนที่ชอบใส่ส้นสูง ควรมีรองเท้าลำลองมาเปลี่ยนใส่เวลาอยู่ในที่ทำงาน แต่ถ้าลอง
เปลี่ยนตัวเองแล้วยังไม่ดีขึ้น ตอนกลางคืนก็อาจใช้แผ่นความร้อนประคบจะช่วยได้มากเพราะความร้อนจะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว
ลดปวดได้ ที่สำคัญไม่แนะนำให้กินยา เนื่องจากไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แต่หากยังคงมีอาการปวดอยู่ จนส่งผลกระทบต่อ
การใช้ชีวิตประจำวันถึงขั้นไปขัดขวางการทำงาน และการใช้ชีวิต ควรต้องหาเวลาไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในระบบกระดูกกล้ามเนื้อ
โดยตรงจะดีที่สุด
สำหรับผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือต้องการคำแนะนำเรื่องสุขภาพร่างกาย โทร.02-677-7166
![]() |
- รายละเอียด
- ฮิต: 123341
นายแพทย์อารีย์ วชิรมโน “ ประสบการณ์รักษามะเร็งหายได้ด้วยตัวเอง ”
นายแพทย์อารีย์ วชิร มโน
กับประสบการณ์รักษามะเร็งหายได้ด้วยตัวเอง
วันชัย ตันติวิทยา พิทักษ์ : สัมภาษณ์
ปีนี้คุณหมออารีย์มีอายุได้ ๗๗ ปีแล้ว เป็นคนร่างเล็ก ผิวพรรณดี หน้าตาแจ่มใสดูราวคนอายุ ๕๐ ต้นๆ หลายปีก่อน
ท่านป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย คุณหมอเลือกที่จะ ใช้ชีวิตอยู่ในชนบท และตั้งใจสู้
ชีวิตครั้งใหม่ ต่อสู้กับมะเร็งด้วยการไม่ผ่า ตัด ไม่ฉายรังสี ไม่ยอมให้คีโม แต่ใช้แนวทางแบบธรรมชาติบำบัด โดยการ
เปลี่ยน พฤติกรรมการใช้ชีวิต ให้กลับไปสู่ธรรมชาติให้มากที่ สุด คุณหมอปฏิบัติตัวสม่ำเสมอ ตั้งแต่การเลือกกินอาหาร
เฉพาะผักผลไม้ การกินวิตามินเสริม การออกกำลังกาย การ ล้างพิษ การพักผ่อนทำตัวให้อารมณ์ดีไม่เครียด มองโลกในแง่
บวก ความตั้งใจที่จะ มีชีวิตต่อไป และที่สำคัญคือกำลังใจจากครอบครัว
สามเดือนผ่านไปคุณหมออารีย์รอด พ้นความตายจากมะเร็ง ทุกวันนี้คุณหมอใช้ชีวิตใน
บ้านไร่แห่งหนึ่งของจังหวัดสกลนครคอยให้ความช่วยเหลือชาวบ้านยากจนที่ป่วยเป็น มะเร็ง
ในขณะที่มีผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายจากทั่วประเทศหลายคนเดินทางมาหา ท่าน คุณหมออารีย์บอกว่า คนเป็น
มะเร็งส่วนใหญ่จิต ใจจะห่อเหี่ยว และสิ้นหวัง แต่ การรักษามะเร็งนั้นจิตใจสำคัญที่สุด
เราต้องทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีความหวังที่จะมีชีวิตต่อไป แต่ยอมรับว่าโอกาสที่ผู้ป่วยมะเร็งจะหายได้นั้น ท่านช่วยได้เพียงครึ่ง
เดียว คือการจัดหาวิตามิน เกลือแร่ชนิดต่างๆที่เป็นประโยชน์ ต่อการสร้างภูมิต้านกิน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวคนไข้เอง
ที่จะยอม ปฏิบัติตามแนวทางการรักษา ๗ อ. ของท่านหรือไม่
๗ อ. ที่ว่านี้คือ ?
๑. ควบคุมอาหาร
๒. เอาพิษออกจากร่าง กาย
๓. อารมณ์ดี
๔. ไม่เครียด
๕. สูดอากาศบริสุทธิ์
๖. เอนกายหรือการพักผ่อนให้เพียงพอ และ
๗. อิทธิบาทสี่
ผู้ป่วยมะเร็งหลายคนที่ได้รับคำแนะนำจากคุณหมอ หลายคนเสียชีวิตแต่หลายคนที่ปฏิบัติอย่างจริงจัง
อาการ ดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นเรื่อย ๆ คุณหมอบอกกับเราว่า มะเร็งไม่เคยให้โอกาสกับใครเป็น ครั้งที่ ๒
ขณะที่มะเร็งกำลังเป็นโรคฮิตที่ไต่ขึ้น อันดับหนึ่งในยุคปัจจุบัน ลองพิจารณาบทสัมภาษณ์ครั้งนี้แล้วคุณอาจ
จะรู้ว่า จะเริ่มต้นดูแลสุขภาพอย่างจริงจังของคุณและคนใกล้ชิดอย่าง ไร

คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านไหนครับ ?
ผมเป็นหมอผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ผมจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและที่มหาวิทยาลัยมอสโกด้วย
ผมสอนนักศึกษาปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ดมาเป็นเวลา ๓๐ ปี
ทำไมคุณหมอจึงตัดสินใจเดินทางกลับเมือง ไทย ?
ผมตั้งใจจะกลับมาตั้งนานแล้ว พอดีเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย ทีแรกนึกว่า เป็นนิ่ว ปัสสาวะมันขัด
พอไปเอกซเรย์ดู ต่อมลูก หมากโตเบ้อเริ่ม เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งผมก็ตัดสินใจกลับมาตายเมืองไทย อยากกลับมาหาแม่
และอยากกลับมาอยู่ ป่าเพราะอยู่ป่าคอนกรีตมา ๓๐ กว่าปี แล้ว
ตอนเป็นมะเร็ง หนัก ๆ จะตายแล้ว ลูกสามคนไปให้กำลังใจ ตอนนั้นผม คิดว่าคงอยู่ไม่ถึงอาทิตย์ พอลูกเตือนสติ
ว่า ไหนป๋าบอกว่าจะมีอายุอยู่ถึง ๑๒๑ ปีให้ได้ ป๋าผิดคำพูด สู้ไม่ จริง... นั่นแหละ จึงได้คิดว่าจะลองสู้ดูสักตั้ง ไหม
มะเร็งไม่เคยให้โอกาสคนครั้งที่ ๒ ผมไปซื้อ รองเท้ามาฝึกเดิน แล้วคิดว่าจะแก้เรื่องเครียดยังไง เพราะ ความเครียด
เป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งที เดียว คิดไม่ออก นอนปลงอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ คิดว่าถ้ากูตาย ลูกจะรู้หรือเปล่า ใครจะ
ไปบอก เพราะผมอยู่ในป่าคน เดียว
จนกระทั่ง คิดหาวิธีแก้เครียดได้ คือการ คิดแบบตรงกันข้าม
เช่นมีคนมาลักวัวเรา ก็ไม่ต้องเครียด ถือเสียว่าได้ชดใช้กรรมกันในชาตินี้ เพราะชาติที่แล้วกูไปลักของเขา มา
หรือมีคนด่าเรา ถือเราได้บุญ เพราะช่วยให้คนที่ ด่าเราหายเครียด ได้ระบายอารมณ์ พอคิดได้ อย่างนี้ ตอนหลังคิด
อะไรเป็นตรงกันข้ามหมด คิดว่า เราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อลูกนะ และแม่เรายังอยู่ เราจะตายก่อนแม่ได้อย่าง ไร และแม่
เราเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่รู้จักรักษา สุขภาพตัวเอง แต่เราเป็นหมอ จะมาตายกับโรคโง่ ๆ อย่างนี้ไม่ได้ เราอายแม่
อายหมาด้วย หมายังไม่เป็นมะเร็งเลย เมื่อมันเป็นแล้ว ถ้าเรายังแก้ไม่ได้ เราไม่ใช่คน แต่เราก็รู้ว่าการ ที่จะสู้ ต้องสู้
ด้วยจิต ฝึกจิตให้ได้ เริ่มคิดไปในทางบวก อะไรก็ดีหมดทุกอย่าง
มะเร็งนี่ถือว่าทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปเลย ?
ใช่ครับ แต่ก่อนผมเป็นคนดุมากอารมณ์เกรี้ยวกราด ไม่ยอมคน เหี้ยมมากจนลือชื่อ เลย ผมได้คิดว่าความเหี้ยม
สิ่งแวดล้อม บวกกับการ กินอาหารซึ่งผมกินเนื้อแบบฝรั่งตลอด ทำให้ผมเป็นมะเร็ง แต่พอป่วย เรารู้ว่าจะหายจาก
มะเร็งได้จิตต้องเปลี่ยน นิสัยการกินต้อง เปลี่ยนอย่างเด็ดขาด เท่านั้นแหละ ดีวันดีคืน ค่า มะเร็งลดลงอยู่แค่ ๗ จาก
๕๗๑ ซึ่งเป็นค่ามะเร็งระดับสูง ผมรักษาตัวอยู่ ๓ เดือนกว่า หายเลย โรคอื่นก็พลอยหายไปด้วย เบาหวานก็ ไม่เป็น
โรคเกาต์ที่ต้องกินยามา ๒๐ กว่าปี ตอนนี้ หายหมด คิดถึงมันมากเลย
คือ เรา ไม่กินเนื้อ ไขมัน กินแต่ผัก ผลไม้ เกลือแร่และวิตามิน ผมอยู่ในป่าอาหารที่กินประจำคือ ข้าวกล้องและใบ
บัวบก บางทีก็มีคนซื้อกล้วย ซื้อส้มมาฝาก บ้าง
ทำไมจึงกินเฉพาะข้าวกล้องกับใบบัวบก ครับ ?
เพราะแถว นั้นไม่มีอะไรจะกิน เราอยู่คนเดียวในป่า ผมอ่าน หนังสือเจอว่าคนอายุยืนที่สุดในโลกเป็นคนจีน ชื่อ
ศาสตราจารย์ลียุนชุง เกิด ปี ค . ศ . ๑๖๗๗ ตายเมื่อ ปี ค . ศ . ๑๙๓๓ เขากินมังสวิรัติ ที่กินอยู่เป็นประจำคือโสมจีน
และใบบัว บก ตอนอายุ ๒๐๐ ปียังไปบรรยายที่มหาวิทยาลัย ซินเกียง ๒๘ ครั้ง ท่านเสียชีวิตตอนอายุ ๒๕๖ ปี หน้า
ตาท่าทางเหมือนกับคน อายุ ๕๐ ปีแค่นั้น ท่านบอกว่าเป็นเพราะ อาหาร และความไม่เครียด ตามจริงถ้าจะรักษา
มะเร็ง กิน แค่นั้นไม่ได้ ต้องกินวิตามินจำนวนมากช่วยด้วย แต่ ว่าจิตเราได้ เราต้องอยู่เพื่อแม่นะ จิตเราต้องสู้นะ
วันนี้เดิน ๑๐ ก้าว พรุ่งนี้ต้องเดิน ๑๕ ก้าวให้ได้ มะรืนนี้ต้อง ๒๐ ก้าวให้ได้ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ฝึกหายใจนะ อยากจะมี
ชีวิตอยู่ อยากจะหาย
แต่ก่อนมีความคิดว่าตายเมื่อไหร่ก็ช่างมัน ทรมานเหลือเกิน ไม่รู้อยู่ทำไม มีแต่ สิ่งไม่ดีในโลกนี้ เบื่อหน่ายเหลือ
เกิน คือมองไปทางไหนก็เป็นลบ หมด เดี๋ยวนี้มองอะไรเห็นเป็นสีชมพู สีเขียว สด ชื่นไปหมด คนด่าก็ยิ้ม มีความสุข
ฉะนั้นทุกวันนี้ ผมมองโลกในแง่บวก มะเร็งทำให้เราคิดว่า การสู้กับมะเร็ง ใครชนะมะเร็งได้ เหมือน คนนั้นตรัสรู้แล้ว
พออาการมะเร็งเริ่มดีขึ้น ๆ รู้ ทันทีว่าทำไมจิตใจเราเห็นอะไรดีไปหมด ผมไปสะดุดมีด สะดุดพร้า เท้าแหกเลย เรา
ยังขอบคุณมัน ที่ช่วยเตือนสติว่าจะเดินไปไหนต้องระมัด ระวังทุกย่างก้าว ทีหลังอย่าซุ่มซ่ามแบบนั้น คิดเสียว่าเป็น
มะเร็งก็ดีนะ ถ้าไม่ เป็นมะเร็ง เราคงเป็นคนเหี้ยมโหดเหมือนเก่า
คุณหมอรักษาตัวอยู่ ๓ เดือนหายเลยใช้วิธีคุมการกินอาหารและไม่ เครียด ... ใช่ไหมครับ ?
อาหารเราต้องงดเนื้อสัตว์เด็ดขาดเลย งดอาหารปรุงแต่ง เนื้อปลาก็ไม่ กิน
ในช่วงนั้น เราต้องถนอมตับที่สุด เพราะตับเป็น อวัยวะที่เป็นฐานทัพใหญ่ ถ้าตับเราไม่ดี เสร็จเลย ร่างกายจะฟื้น
ไม่ได้ ตับสำคัญที่สุด วิธีถนอมตับคืออย่ากินมาก อย่าสะสมพิษให้ตับทำงานหนัก อย่าท้องผูก กินอาหาร โปรตีน
เข้าไปเยอะ ๆ ตับก็ทำงานหนัก เมื่อตับเราดี มันสามารถช่วยอย่างอื่นหมด ไตก็ผลพลอยได้ประโยชน์ด้วย เดี๋ยวนี้
หน้าตาเราสดใส เมื่อก่อนหน้าตาเราโทรมดังนั้นความเครียดจึง เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องจัดการให้ได้
หากแก้ปัญหาเรื่องเครียดได้แล้วโอกาสหายจากมะเร็งก็สูง ขึ้น ?
ก็เรา เคยเห็นคนบ้าเป็นมะเร็ง เป็นเบาหวาน ความ ดันหรือท้องเสียไหมล่ะ ขนาดเขาหาของกินจากถังขยะ
เคยเห็นคนบ้าเป็นมาลาเรีย หรือไม่ แต่อย่าไปตรวจเลือดนะ เชื้อมาลาเรียเต็ม เลย แต่เชื้อทำอะไรเขาไม่ได้
เชื้อโรคเหล่านี้ความ จริงมันเป็นเพื่อนเรา ฉะนั้นจิตเป็นเรื่องสำคัญ ทำ อย่างไรไม่ให้เครียด
มีแม่ชีคนหนึ่งมาพบผม เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว ทีแรกบวชเพราะต้องการทำสมาธิ
แต่ทำไม่ได้ คอยแต่คิดถึงกิจการโรงงานที่ กรุงเทพฯ ห่วงลูกที่ยังเรียนหนังสือ ผมบอกว่าปล่อยวาง
ซะเถอะครับ ตัดเรื่องเครียดอะไรได้ ตัด เถอะ จากเดิมที่อาการหนักใกล้จะเสียชีวิตอยู่แล้ว เพราะเป็นมะเร็ง
ที่เต้านม แล้วเข้าปอด เข้าสมองแล้ว พูดก็เบลอ ๆ ปรากฏว่าตอนหลังปฏิบัติเรื่องจิตได้ ไม่เครียด ตอนนี้หาย ไม่มี
อาการอะไรเลย เห็นว่าครั้งหลังสุดไปทำสแกนดู ปรากฏ ว่าเซลล์มะเร็งหดลงแทบมองไม่เห็นแล้ว สุขภาพก็ดี
ตอนนี้จิตเขาสบายมาก เลย
เมื่อคนไข้หายเครียด มองโลกในแง่บวก ทำไมร่างกายจึงดี ขึ้น ?
หากท่าน สามารถทำให้จิตของท่านมองโลกในทางบวก หรือทำให้จิตของท่านมี สมาธิ ตัวจิตนี้จะไป
กระตุ้นต่อมพิทูอิตารี ให้ หลั่งโกรทฮอร์โมนมา พวกนี้เป็นฮอร์โมนที่ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ไป
กระตุ้นต่อมไทรอยด์ ต่อมแอดดินอล ให้ขับแต่ฮอร์โมนชนิดดี ๆ ออกมาเพื่อจะไป กระตุ้นให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงาน
จนกระทั่งต่อมต่าง ๆ ที่ผลิตภูมิต้านกินหรือเม็ด เลือดขาว ทำงานได้เต็มที่ คือ มันเริ่มมา จากจิต เมื่อจิตคิดดีทำ
ดี หรือสามารถทำสมาธิได้ สมองส่วนนี้ก็จะขับฮอร์โมน ที่เป็นประโยชน์ออกมาทันที แต่ถ้าจิตมองโลกในทาง ลบ
สมองส่วนนี้แทนที่จะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนชนิดดีออกมา มันไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้ผลิตฮอร์โมน
อะดรินาลิ น ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียด ทำให้ผลิตเม็ดเลือดขาวที่อ่อนแอออก มา แล้วอย่าลืมว่าโกรท
ฮอร์โมนประกอบไปด้วยกรดอะมิ โน ๑๙๑ ชนิด แต่ท่านไม่ต้องเที่ยวหาซื้อกรดอะมิโน พวกนี้มากิน มันอยู่ที่ตับเรา
สามารถสังเคราะห์ได้ หมด การที่จีนฝังเข็มหรือกดจุดก็เพื่อต้องการให้ ตัวนี้หลั่ง คนไข้จะได้ไม่เจ็บปวด
ฝึกอย่างไรให้เป็นคนมองโลกในแง่บวก ?
คนที่เคยเครียดมาแล้ว จะเปลี่ยน ทันทีไม่ได้ ผมหายจากมะเร็งได้ ผมโชคดีมาก อาทิตย์ เดียวผม
เปลี่ยนจิตได้เลย มันเหมือนมีอะไรมาดลใจ รู้ทางเลย แต่ก่อนสอนนักศึกษา สอนได้หมด พอเจอกับ
ตัวเอง ลืมหมด แก้ไม่ถูกเลย พอแก้ได้ อาทิตย์ เดียว หน้ามือเป็นหลังมือเลยทั้งที่จะตายอยู่แล้ว ตอน
นั้นแหละที่ว่าผมหนัก มากๆ ลูกสามคนมาเยี่ยม ช่วงนั้นผมใกล้จะเสียชีวิตแล้ว
ลูกสามคนมาให้กำลัง ใจ ผมก็คิดว่าถ้าเราจะสู้ซักตั้ง เราจะรอดมั้ย เพราะ มะเร็งไม่เคยให้โอกาส ใคร
ครั้งที่ ๒ อีกเลย ก็ลองดู วันนั้นนอนหมด กำลังใจอยู่ ก็คิดได้ หลังจากนั้นไม่ถึงอาทิตย์ แก้เรื่องจิตได้
ก็หายวันหายคืน กระทั่งทุก วันนี้ ความเกลียดชัง ความเครียด หรือมีอะไรมากระทบจิตใจ อยู่ในตัวผม
ไม่เกิน ๑ นาทีเด็ดขาด ผมต้องแก้ให้ได้ เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ เป็นตรงกันข้ามทันที
พระพุทธองค์ท่านบอกว่าจิตอยู่ที่ไหน พลังอยู่ที่นั่น ไอน์สไตน์มีความเชื่อว่า พลังที่รุนแรงที่สุด
มีอำนาจที่สุดในโลก นี้ สู้พลังจิตไม่ได้ แม้แต่ตัวท่านเองที่สามารถ คิดค้นปรมาณูได้ว่ามีพลังมหาศาล แต่
ก็สู้พลังจิตไม่ได้ ท่านจึงหันมานับถือศาสนาพุทธ กินมังสวิรัติ เพื่อที่จะได้ศึกษาเรื่อง จิต ปรากฏว่าไม่มีใคร
ที่จะให้ความรู้ให้ท่านได้เพียงพอเกี่ยวกับแนวทางการทำ สมาธิ ท่านก็เลยไม่สำเร็จ เสียชีวิตก่อน
ผมติดใจที่ไอน์สไตน์นับถือศาสนาพุทธ ทั้ง ๆ ที่เป็นยิว
ตั้งแต่เป็นมะเร็ง คุณหมอไม่ได้รักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันเลยใช่ไหมครับ ?
หรือว่าเคยรักษาแล้วแต่ไม่ได้ผล ?
ไม่รักษาเลย เพื่อนบอกว่าต้องผ่า ตัดก็ไม่เอา เพราะมันไม่ใช่ทางนี้ คือเรารู้มา อย่างละเอียดแล้วว่าเราชนะจิตใจเรา
ได้มั้ย ถ้าเราควบคุมจิตเราได้ ก็ จบ แต่ถ้าเราควบคุมไม่ได้ เราก็ตาย ผมมีเพื่อนเป็นโปรเฟสเซอร์ทั้งผัวเมีย เป็นมะเร็ง
ตายทั้ง คู่ เขารักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบัน คือผ่าตัดและคี โม แต่ผมไม่เอา อันที่จริงผมสนใจเรื่องการรักษาแบบ
ธรรมชาติมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้ จนกระทั่งเป็นมะเร็ง แล้วสนใจมาทดลองกับ ตัวเองจนหาย ตอนหลังมีโอกาส
ได้ใช้กับคนไข้เยอะ มาก ก็เห็นว่ามีผลดีและหายแบบยั่งยืนเสียด้วย ก็ เลยศึกษามาเรื่อย ๆ
หลักการรักษามะเร็งของคุณหมอนอกจากเรื่องความเครียดแล้ว ยังมีอะไรอีก บ้าง ?
วิทยายุทธ์ที่เราจะสู้กับ มะเร็งอันดับแรก คือ หยุดการขยายตัว ของมะเร็งด้วยการควบคุมอาหาร อย่างแรกคือ
ลดไขมันให้น้อยที่ สุด เพราะ ไขมันเป็นอาหารอันดับหนึ่งที่ มะเร็งชอบที่สุด
ตามปรกติในข้าว พืชผัก ทุกชนิด มีไขมันเพียงพออยู่แล้ว ที่เราเกิดโรคภัย ไข้เจ็บทุกวันนี้เพราะไขมันเกิน ไขมันที่
เรากินทุก วันมันเกิด ออกซิได ซ์ เป็นอนุมูลอิสระหมดแล้ว เพราะการสกัดไขมันเราใช้ความร้อน พอ ถูกความร้อน ไขมัน
มันเสีย และไขมันที่ใช้แล้วใช้อีกยิ่งหนักเข้าไปอีก อย่างพวก ปาท่องโก๋ กล้วยแขก พวกนี้เป็นสารก่อมะเร็ง คน อ้วน
เวลาเป็นมะเร็งจะลามเร็วมากเพราะมันได้อาหาร มะเร็งเหมือนต้นไม้เรา อยากให้ ต้นไม้หยุดการเจริญเติบโต เราต้อง
หยุดให้น้ำหยุดให้ปุ๋ย มันจะชะงัก ใบร่วงเลย แต่ต้นไม่ก็ยังไม่ตาย มนุษย์เราเหมือนกัน อย่าให้ อาหารที่มะเร็งชอบ
อาหารอย่าง ต่อมาที่ต้องลด คือโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เมื่อเรากินเข้าไปมาก และร่างกายนำโปรตีนไปเผาผลาญเป็น
พลังงานแล้ว จะเกิดของเสียคือแอมโมเนีย ตัวนี้เป็นตัวร้าย มันเวียนกลับไปทำให้ ตับต้องทำงานหนักเพื่อเปลี่ยนเป็น
ยูเรีย ออกมาทางไตเป็นส่วนมากและออกมาทางลำ ไส้ใหญ่ ทำให้อุจจาระมีกลิ่นเหม็น พิษจากลำไส้ใหญ่ จะถูกดูด
ซึมกลับเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้ระบบทุกอย่างในร่างกายขัดข้องหมด เลย คนท้องผูกจะหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี ดัง
นั้น ตับกับไตทำงานหนักเพราะกินโปรตีนเข้าไป โดยเฉพาะคนที่เป็นมะเร็งในตับ ต้องระวังที่สุด
คนปรกติต้องการโปรตีนวันละกี่กรัมครับ ?
คนปรกติต้องการโปรตีนไม่เกิน ๓๕ กรัมต่อวันฉะนั้นคนที่เป็นมะเร็งลำพังโปรตีนที่ได้จากข้าวกล้อง พืชผักผลไม้ก็
พอเพียงแล้ว พออาการค่อยยังชั่วหน่อย เราก็กินเห็ด ซึ่งมีโปรตีนสูงและมีเกลือแร่มากที่สุด มีมากกว่าเนื้อแดงด้วย
ซ้ำ แต่เห็ดที่มีคุณภาพสูงมากที่สุดคือ เห็ดมิตาเกะ ที่ญี่ปุ่นขายแพงมาก มันมีสารที่ป้องกันมะเร็งและสารที่สร้างภูมิ
ต้านทาน สูงมาก สาร ตัวนี้เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งแต่เป็นโปรตีนที่มี ประโยชน์
อาหารอย่าง ที่ต้องลดคือแป้งขัดขาว น้ำตาล ของ หวาน อย่างข้าวขาวนี่เวลาย่อยแล้ว เปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้เร็ว
มาก หากเราใช้ไม่หมดมันจะ ถูกส่งไปเก็บไว้ในตับหรือในกล้ามเนื้อ เวลาร่างกาย ต้องการจะดึงกลับมาใช้อีก พอ
เหลือมันกลับไปเป็นไขมัน บางคนบอกว่าฉันไม่ได้กินไขมันเลย ทำไมฉันยังอ้วนก็ไม่ รู้ ก็เล่นกินขนมขบเคี้ยวไม่หยุด
ของพวกนี้มัน เปลี่ยนเป็นไขมัน ได้ ตับเปลี่ยนไขมัน หรือน้ำตาลเป็นโปรตีน และยังเปลี่ยนน้ำตาลกลับมาเป็นโปรตีน
และ ไขมัน

แป้งขัดขาวทำปฎิกิริยากับร่างกายอย่างไร ครับ ?
เวลากิน ของหวาน กินข้าวขาวเข้าไป ร่างกายจะเปลี่ยนเป็น กลูโคส มาเลี้ยงสมองได้เร็วมาก
สดชื่นได้เร็ว มาก ระดับน้ำตาลขึ้นปรู๊ดเลย พอน้ำตาลในเลือดมาก สมอง จะกระตุ้นให้ตรงนี้ขับ อินซูลิน ออกมา
เพื่อเผาผลาญน้ำตาลที่กินเข้าไปให้เป็น พลังงาน วิตามินที่จะมาช่วยเผาผลาญ คือ วิตามินบี คอมเพล็กซ์ แต่ข้าว
ที่เรากินเข้าไป ไม่มีวิตามินบีเพราะขัดออกหมดแล้ว
ฉะนั้นต้องดึง วิตามินในร่างกายออกมาเผาผลาญ ร่างกายเราก็ขาดวิตามินบี ทำให้ระบบประสาทเกิด เหน็บชา
และตับอ่อนทำงานหนักที่สุด เพราะเมื่อกลูโคสขึ้น สมองไฮโปเท มัส ส่วนนี้สั่งให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินออกมาเพื่อ เผา
ผลาญน้ำตาลให้ลดลง และมันผลิตออกมามากซะด้วย แป๊บเดียวน้ำตาลลดฮวบ เลย เพราะฉะนั้น พวกกินข้าว
ขาวหรือของหวานจะหิว ไม่หยุด ยิ่งกินน้ำตาลมากเท่าไหร่ ตับอ่อนยิ่งทำงานหนัก ตอนน้ำตาลลดนี่จะอารมณ์ไม่ดี
หงุดหงิดเลย พวกคนอ้วนเป็นเบา หวานต้องระวัง จะดุมาก ตอนกินจะ อารมณ์ดี พอถูกเผาผลาญหมด แป๊บเดียวจะ
อารมณ์เสียแล้ว เหมือนที่โบราณเขาพูดว่า อยากให้หมาดุ ให้กินของหวาน ช่วงที่มัน กินของหวานจะอารมณ์ดี แจ่ม
ใส พอแป๊บเดียวมันหิว แล้ว ระวังให้ดี มันจะกัดได้ คนก็เหมือนกันเลย ที่ อเมริกาไม่รู้คุกไหน หลายปีมาแล้ว เขา
แบ่งนักโทษฉกรรจ์เป็นสองพวกพวกหนึ่งให้ หยุดกินของหวานหมดเลย กินแต่ขนมปังโฮลวีต อีกพวกหนึ่งให้กินแต่
ของหวาน ปรากฏว่า ภายในอาทิตย์เดียว พวกแรกนิสัยใจคอเย็นลง ส่วนพวกหลังฆ่ากันเองตายหลาย ศพ
คนที่เป็นโรคไหลตายมีรายงานว่าอาจจะเกิดจากการกินแป้งมากเกินไป ด้วย ?
ส่วนมากโรคไหลตายเกิดจากหัวใจหยุด กะทันหัน พวกที่กินไขมันหรือกินของหวานมาก ๆ ก่อนนอนหรือกินอาหาร
มื้อหนักก่อน นอน เมื่อมีไขมันมากอยู่แล้ว พอกินเข้าไปตอนกลางคืน ไขมันจะเพิ่มขึ้นสูงมาก จึงมีโอกาสสูงที่ไขมันจะอุด
ตัน ที่สมองหรือหัวใจ
สังเกตว่าพวกที่ตายกลางคืนทั้งหลาย ก่อนนอนคืนนั้นมักกินอาหารหนัก ส่วนมากเป็น คนที่มีไขมันในเลือดสูง อย่าง
เป็นความดัน ก่อนนอนแทนที่จะกินอาหารเบา ๆ หรือกินพืชผักผลไม้ เล่นกินอาหารหนักเลย พลังงานเมื่อไม่ได้ใช้ ไขมัน
ก็ขึ้นสูง หัวใจทำงานหนักเนื่อง จากกระเพาะทำงานหนัก เรานอนปิดแต่ตา แต่ทุกอย่าง ยังทำงานหนัก พลังงานก็ไม่ได้
ใช้ ไขมันไปเพิ่มอีก คนที่ไขมันมาก ๆ เส้นเลือดตีบอยู่แล้ว มันจะอุดตันตรงไหนก็ได้ ผมสังเกตดู ถ้าคนสุขภาพดี ไม่กรน
ไม่ได้เป็นโรคหัวใจกับเส้น เลือดมาก่อน และไม่ได้กินอาหารหนักก่อนนอน คุณจะไม่เป็นเด็ดขาด แต่ส่วนมาก พวกที่ไหล
ตายเป็นคนอีสาน ชอบของหวานมาก การพักผ่อนก็ไม่พอ ก่อนนอนกินหนัก มาก
นอกจากน้ำตาลแล้ว เกลือก็ต้องลดด้วยใช่ ไหม ?
โซเดียมคลอไรต์หรือเกลือต้องลดลงให้มาก ในร่างกายเราประกอบด้วย โซเดียมสูงมากอยู่แล้ว แต่ถ้าเรากินเข้าไปมาก
พอมันเข้าไปในกระแสเลือดมาก มันจะ ดูดน้ำในตัวเรา สังเกตพวกกินเค็มหรือไตไม่ดี เท้าจะบวม เกลือมันจะทำให้เลือด
เราเป็น กรด คนที่สุขภาพดี เลือดต้องเป็นด่างนิด หน่อย
แต่ถ้ากินเค็มเข้าไป เลือดจะเป็นกรดภูมิต้านทาน จะไม่มีเพราะกินเกลือเข้าไปจะไปขับ โปแตสเซียม
ทำให้เลือดไม่เป็น ด่าง
นอกจากลดกรดแล้ว ให้เพิ่มโปแตส เซียมเข้าไปในร่างกายเพื่อให้เลือดเป็นด่างเนื่องจากคนที่เป็นมะเร็งจะเครียด ไม่
สบาย พอเครียด ร่างกายจะเกิดกรด จะมีคาร์บอนสูงมาก เราจึง ให้กินน้ำต้ม ผัก
ซึ่งมีโปแตสเซียมสูงที่สุด ที่เราเจ็บ ร่างกายอ่อนเพลีย เพราะเราขาดโปแตสเซียม แต่ ถ้าตัวใดตัวหนึ่งมากเกินก็ไม่ดี
เราต้องดูผล เลือด
การแก้เลือดเป็นกรด แก้ได้สองอย่าง กินพืชผักผลไม้ให้มากๆเพื่อเพิ่มโปแตสเซียม อีกอย่างคือ
หายใจเอาออกซิเจนเข้ามามากๆเพราะยิ่งออกซิเจนเข้าไปในเลือดมากเท่าไหร่ ยิ่งทำ ให้เลือดเราเป็นด่าง แต่ถ้าเราไม่ฝึก
หายใจเอาออกซิเจนเข้าไป เลือดเราเป็นกรดเพราะเลือดเราจะมีคาร์บอนไดออกไซด์สูง มาก พวกนี้จะปวดเมื่อยร่างกาย
มาก เขาจึงให้ฝึกหายใจเพื่อเอา คาร์บอนไดออกไซด์ ออกไป แล้วเอาออกซิเจนเข้ามา มันถึงจะหายปวดเมื่อย
มนุษย์อด อาหาร ๔๕ - ๕๐ วันยังอยู่ได้ อดน้ำได้ ๓ - ๕ วัน แต่อากาศหายใจ ขาด เพียง ๘ - ๑๐ นาทีเท่านั้น
อาหารที่สำคัญที่สุดของร่างกายไม่ใช่สารอาหาร แต่เป็นออกซิเจนที่สูดเข้าไป ทำ ให้เลือดเราเป็นด่าง การที่เรานิ่ง
อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ออกกำลังกาย จะมีคาร์บอน ไดออกไซด์ในเลือดสูงมาก ทำให้เลือดเป็นกรด มันจะเมื่อย ล้า
คุณหมอพอจะแนะนำหลักการหายใจอย่างถูกต้องได้ไหม ครับ ?
เงยหน้าเพื่อให้อากาศเข้ามากที่ สุด เวลาหายใจเข้าพยายามให้เข้าทางรูจมูกเท่านั้น เพราะมันจะมีเครื่องกรอง
คือขน จมูก และจะมีเยื่อเมือก ๆ กรองด้วย การหายใจเข้า ให้ปอดพองมากที่สุดสามครั้งติด ๆ กันเลย ครั้งแรก
กลั้นไว้ ครั้งที่ ๒ กลั้นไว้ ครั้งที่ ๓ กลั้น ไว้ เหมือนใจจะขาด พอครบสามครั้ง ค่อย ๆ โน้มตัว ลง อ้าปากเอาพิษ
ออกให้หมด ยิ่งทำบ่อยเท่าไหร่ ปอด ท่านยิ่งมีพลัง มะเร็งปอดจะไม่เป็น เพราะออกซิเจนเข้าไปเต็มที่ ของเสีย
ออกมาเต็มที่
ปอดมีความจุสองข้างประมาณ ๓ ลิตรครึ่งถึง ๔ ลิตร ครึ่ง แต่ถ้าเรายังหายใจแบบธรรมดาอยู่
อากาศเข้า ออกเพียงครึ่งลิตรเท่านั้น บางทีของเสียไม่ได้ออกเลย เหมือนหม้อกรองอากาศไม่เคยเป่าหม้อกรอง
ตัวเองเลย ปอดของเราคือหม้อกรองอากาศ เราต้องช่วยตรงนี้มาก ๆ เราเปลี่ยนปอดไม่ได้ แต่เรา ต้องบริหารการ
หายใจ จะทำให้ปอดมีประสิทธิภาพที่สุด
แล้วพวกนักกีฬาที่ออกกำลังกายโดยการเตะฟุตบอล ....
นั่นไม่ใช่การออกกำลังกายที่ให้ ประโยชน์แต่เป็นการออกกำลังกายที่เกิดโทษแก่ร่างกายเป็น
unaerobicเราต้องรู้ว่าการ ออกกำลังกายแบบ aerobic กับ unaerobic เป็นยังไง การออกกำลังกายแบบ
aerobic ร่างกายต้องเกิดด่างได้ออกซิเจน แต่ unaerobic ได้คาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ร่างกายเกิดกรด
ร่างกายเสื่อม คนที่ไปเต้นแอโรบิกทุกวันนี้ยัง ทำผิด เต้น ๆ แล้วเกร็ง เครียด กลัวจะไม่ถูกจังหวะ ชื่อแอโรบิก
แต่ไม่ใช่ แอโรบิก แอโรบิกทำแบบไหนก็ได้ ไม่ต้องเครียด ให้ สนุกสนาน ถ้าเครียดร่างกายจะเกิด กรด
ฉะนั้นการแข่งกีฬาทุกวันนี้เป็นการทำลาย สุขภาพ ทั้งสุขภาพกายและจิต คนไม่เล่นก็สุขภาพจิตเสีย เพราะ
ต้องลุ้นแข่งขันกัน เครียดมั้ย ฉะนั้นนักกีฬาที่เล่นทุกวันนี้ นักฟุตบอล นักเล่นกล้าม นักวิ่ง มี ใครอายุยืน ...
ไม่มีเลย เพราะร่างกายมัน เสื่อม มีการพิสูจน์แล้วว่า การออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือการเดินเร็ว และให้ถูกแสง
แดด เพราะมันไม่เครียด ไม่เหนื่อย ไม่เกร็ง และเป็นการออกกำลังกายชนิดเดียวเท่านั้นที่ทำให้ระบบประสาท
ส่วนกลางได้สมดุล
คนที่เป็นมะเร็งควรจะกินอาหารประเภทใด ?
อาหารธรรมชาติอย่างพืชผักผลไม้ มะเร็งไม่ชอบแต่มีวิตามินสู ง คนเป็นมะเร็งต้อง กินอาหารพวกนี้ คนที่
เป็นมะเร็งส่วนใหญ่จะกินอาหารแบบนี้ได้น้อย จึงขาดพวกเกลือ แร่ เอนไซม์ วิตามิน ฉะนั้นหมอจึง แนะนำ
ให้กินพวกเกลือแร่ วิตามิน เอนไซม์เข้าไปช่วย สรุปแล้วคน เป็นมะเร็งต้องพยายามกินผักผลไม้เพราะต้องการ
ให้ก้อนมะเร็งอดอาหารแต่ไม่ให้ขาด เกลือแร่ วิตามิน เพราะมันจำเป็น ส่วนจะเป็นวิตามินประเภทใดก็ต้องให้
หมอ ตรวจเลือด เพื่อจะรู้ว่าร่างกายเราขาดอะไรก่อน
การหยุดขยายก้อนมะเร็งนอกจากการเลือกกินอาหารแล้ว มีอะไรอีก ครับ ?
ด้วยการ กินวิตามินซี ตามหลักของแพทย์องค์รวมเขาบอกว่า วิตามินซีต้องได้อย่างน้อย ๒๐ กรัมต่อ วัน ในร่างกาย
เรามีเซลอยู่ ประมาณ ๗๕ , ๐๐๐ ล้าน เซล เซลล์ดีจะมีเยื่อหุ้มเซลที่เรียก ว่า .... เหมือนเป็นเสื้อเกราะไม่ให้มะเร็งเข้า
มาทำลาย ได้ แต่ถ้าเซลไหนเป็นมะเร็งแล้ว เยื่อหุ้มเซลจะไม่มี แถมเซลมะเร็งจะสร้างเอนไซม์ชนิดหนึ่งเรียกว่า ... ซึ่ง
เป็นตัวร้าย เอมไซม์ตัวนี้จะไปทำลาย เสื้อเกราะของเซลอื่น ทำให้กลายเป็นมะเร็งต่อไป เรื่อย ๆ แต่พอวิตามินซีเข้าไป
ในกระแส เลือด มันจะไปทำลายเอนไซม์ตัวนี้ มะเร็งก็ไม่ขยายตัว นอกจากนี้ วิตามินซี เป็น แอนตี้ออกซิ แดนท์
หรือสารต้านอนุมูลอิสระ มันช่วยลดความเครียดลง ได้ ยกตัวอย่างเช่น คนไข้เจ็บปวด เวลาฉีด วิตามินซี ทำไมคนไข้
สงบเร็วเพราะมันไปลด อีเอสอาร์ หรือลดตะกอนเม็ดเลือด แดง ตะกอนเม็ดเลือดแดงมากเท่าไหร่ หมายความว่าเกิด
การอักเสบหรือเกิดการเสื่อมของร่างกายมากขึ้นเท่านั้น คนปรกติให้กินวิตามิน ซี ๔ - ๕ พันมิลลิกรัมต่อวัน แต่ ถ้าคน
ที่อยู่ในเมืองมีมลภาวะ อย่างน้อยต้อง ๖ พันมิลลิกรัมขึ้น ไป ประเทศที่กินวิตามินซีสูงมาก ประเทศนั้นสุขภาพเขาจะ
มาก แล้วหน้าตาเขาจะดี ประเทศที่กินมากที่สุดคือสวีเดน รองลงไปคือรัสเซีย พวกนี้สุขภาพจะดีมาก ทั้งที่ กินเนื้อ
สัตว์มาก
เรากินวิตามินซีจากส้มเพียงพอหรือไม่ ?
ท่านทราบหรือไม่ว่าส้มลูกหนึ่งมี วิตามินซีอยู่ ๑๐๐ มิลลิกรัม หมายความว่าต้องกินจากต้น แต่ ถ้าส้มหนึ่งลูก เก็บไว้
เจ็ดวัน จะเหลือ ๑ มิลลิกรัมเท่านั้น วิตามินซีหายหมดเลย ดังนั้นถ้า คุณจะกินส้มให้ได้ ๔ พันมิลลิกรัม ต้องกินส้มสี่พัน
ลูก กินวิตามินซีมาก ๆ ทางการแพทย์บอกว่าอาจจะมีปัญหากับระบบ ปัสสาวะ
***********************************
เมื่อคนไข้หายเครียด มองโลกในแง่บวก ทำไมร่างกายจึงดี ขึ้น ?
หากท่าน สามารถทำให้จิตของท่านมองโลกในทางบวก หรือทำให้จิตของท่านมี สมาธิ ตัวจิตนี้จะไป
ดี หรือสามารถทำสมาธิได้ สมองส่วนนี้ก็จะขับฮอร์โมน ที่เป็นประโยชน์ออกมาทันที แต่ถ้าจิตมองโลกในทาง ลบ
คนที่เคยเครียดมาแล้ว จะเปลี่ยน ทันทีไม่ได้ ผมหายจากมะเร็งได้ ผมโชคดีมาก อาทิตย์ เดียวผม
เปลี่ยนจิตได้เลย มันเหมือนมีอะไรมาดลใจ รู้ทางเลย แต่ก่อนสอนนักศึกษา สอนได้หมด พอเจอกับ
ตัวเอง ลืมหมด แก้ไม่ถูกเลย พอแก้ได้ อาทิตย์ เดียว หน้ามือเป็นหลังมือเลยทั้งที่จะตายอยู่แล้ว ตอน
นั้นแหละที่ว่าผมหนัก มากๆ ลูกสามคนมาเยี่ยม ช่วงนั้นผมใกล้จะเสียชีวิตแล้ว
ลูกสามคนมาให้กำลัง ใจ ผมก็คิดว่าถ้าเราจะสู้ซักตั้ง เราจะรอดมั้ย เพราะ มะเร็งไม่เคยให้โอกาส ใคร
ครั้งที่ ๒ อีกเลย ก็ลองดู วันนั้นนอนหมด กำลังใจอยู่ ก็คิดได้ หลังจากนั้นไม่ถึงอาทิตย์ แก้เรื่องจิตได้
ก็หายวันหายคืน กระทั่งทุก วันนี้ ความเกลียดชัง ความเครียด หรือมีอะไรมากระทบจิตใจ อยู่ในตัวผม
ไม่เกิน ๑ นาทีเด็ดขาด ผมต้องแก้ให้ได้ เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ เป็นตรงกันข้ามทันที
พระพุทธองค์ท่านบอกว่าจิตอยู่ที่ไหน พลังอยู่ที่นั่น ไอน์สไตน์มีความเชื่อว่า พลังที่รุนแรงที่สุด
มีอำนาจที่สุดในโลก นี้ สู้พลังจิตไม่ได้ แม้แต่ตัวท่านเองที่สามารถ คิดค้นปรมาณูได้ว่ามีพลังมหาศาล แต่
ก็สู้พลังจิตไม่ได้ ท่านจึงหันมานับถือศาสนาพุทธ กินมังสวิรัติ เพื่อที่จะได้ศึกษาเรื่อง จิต ปรากฏว่าไม่มีใคร
ที่จะให้ความรู้ให้ท่านได้เพียงพอเกี่ยวกับแนวทางการทำ สมาธิ ท่านก็เลยไม่สำเร็จ เสียชีวิตก่อน
ผมติดใจที่ไอน์สไตน์นับถือศาสนาพุทธ ทั้ง ๆ ที่เป็นยิว
ตั้งแต่เป็นมะเร็ง คุณหมอไม่ได้รักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันเลยใช่ไหมครับ ?
หรือว่าเคยรักษาแล้วแต่ไม่ได้ผล ?
ไม่รักษาเลย เพื่อนบอกว่าต้องผ่า ตัดก็ไม่เอา เพราะมันไม่ใช่ทางนี้ คือเรารู้มา อย่างละเอียดแล้วว่าเราชนะจิตใจเรา
วิทยายุทธ์ที่เราจะสู้กับ มะเร็งอันดับแรก คือ หยุดการขยายตัว ของมะเร็งด้วยการควบคุมอาหาร อย่างแรกคือ
ลดไขมันให้น้อยที่ สุด เพราะ ไขมันเป็นอาหารอันดับหนึ่งที่ มะเร็งชอบที่สุด
เวลาเป็นมะเร็งจะลามเร็วมากเพราะมันได้อาหาร มะเร็งเหมือนต้นไม้เรา อยากให้ ต้นไม้หยุดการเจริญเติบโต เราต้อง
หยุดให้น้ำหยุดให้ปุ๋ย มันจะชะงัก ใบร่วงเลย แต่ต้นไม่ก็ยังไม่ตาย มนุษย์เราเหมือนกัน อย่าให้ อาหารที่มะเร็งชอบ
อาหารอย่าง ต่อมาที่ต้องลด คือโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เมื่อเรากินเข้าไปมาก และร่างกายนำโปรตีนไปเผาผลาญเป็น
ยูเรีย ออกมาทางไตเป็นส่วนมากและออกมาทางลำ ไส้ใหญ่ ทำให้อุจจาระมีกลิ่นเหม็น พิษจากลำไส้ใหญ่ จะถูกดูด
คนปรกติต้องการโปรตีนวันละกี่กรัมครับ ?
คนปรกติต้องการโปรตีนไม่เกิน ๓๕ กรัมต่อวันฉะนั้นคนที่เป็นมะเร็งลำพังโปรตีนที่ได้จากข้าวกล้อง พืชผักผลไม้ก็
พอเพียงแล้ว พออาการค่อยยังชั่วหน่อย เราก็กินเห็ด ซึ่งมีโปรตีนสูงและมีเกลือแร่มากที่สุด มีมากกว่าเนื้อแดงด้วย
ซ้ำ แต่เห็ดที่มีคุณภาพสูงมากที่สุดคือ เห็ดมิตาเกะ ที่ญี่ปุ่นขายแพงมาก มันมีสารที่ป้องกันมะเร็งและสารที่สร้างภูมิ
ต้านทาน สูงมาก สาร ตัวนี้เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งแต่เป็นโปรตีนที่มี ประโยชน์
มาก หากเราใช้ไม่หมดมันจะ ถูกส่งไปเก็บไว้ในตับหรือในกล้ามเนื้อ เวลาร่างกาย ต้องการจะดึงกลับมาใช้อีก พอ
เหลือมันกลับไปเป็นไขมัน บางคนบอกว่าฉันไม่ได้กินไขมันเลย ทำไมฉันยังอ้วนก็ไม่ รู้ ก็เล่นกินขนมขบเคี้ยวไม่หยุด
ของพวกนี้มัน เปลี่ยนเป็นไขมัน ได้ ตับเปลี่ยนไขมัน หรือน้ำตาลเป็นโปรตีน และยังเปลี่ยนน้ำตาลกลับมาเป็นโปรตีน
และ ไขมัน

เวลากิน ของหวาน กินข้าวขาวเข้าไป ร่างกายจะเปลี่ยนเป็น กลูโคส มาเลี้ยงสมองได้เร็วมาก
สดชื่นได้เร็ว มาก ระดับน้ำตาลขึ้นปรู๊ดเลย พอน้ำตาลในเลือดมาก สมอง จะกระตุ้นให้ตรงนี้ขับ อินซูลิน ออกมา
ที่เรากินเข้าไป ไม่มีวิตามินบีเพราะขัดออกหมดแล้ว
และตับอ่อนทำงานหนักที่สุด เพราะเมื่อกลูโคสขึ้น สมองไฮโปเท มัส ส่วนนี้สั่งให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินออกมาเพื่อ เผา
ผลาญน้ำตาลให้ลดลง และมันผลิตออกมามากซะด้วย แป๊บเดียวน้ำตาลลดฮวบ เลย เพราะฉะนั้น พวกกินข้าว
ขาวหรือของหวานจะหิว ไม่หยุด ยิ่งกินน้ำตาลมากเท่าไหร่ ตับอ่อนยิ่งทำงานหนัก ตอนน้ำตาลลดนี่จะอารมณ์ไม่ดี
หงุดหงิดเลย พวกคนอ้วนเป็นเบา หวานต้องระวัง จะดุมาก ตอนกินจะ อารมณ์ดี พอถูกเผาผลาญหมด แป๊บเดียวจะ
อารมณ์เสียแล้ว เหมือนที่โบราณเขาพูดว่า อยากให้หมาดุ ให้กินของหวาน ช่วงที่มัน กินของหวานจะอารมณ์ดี แจ่ม
ใส พอแป๊บเดียวมันหิว แล้ว ระวังให้ดี มันจะกัดได้ คนก็เหมือนกันเลย ที่ อเมริกาไม่รู้คุกไหน หลายปีมาแล้ว เขา
แบ่งนักโทษฉกรรจ์เป็นสองพวกพวกหนึ่งให้ หยุดกินของหวานหมดเลย กินแต่ขนมปังโฮลวีต อีกพวกหนึ่งให้กินแต่
ของหวาน ปรากฏว่า ภายในอาทิตย์เดียว พวกแรกนิสัยใจคอเย็นลง ส่วนพวกหลังฆ่ากันเองตายหลาย ศพ
คนที่เป็นโรคไหลตายมีรายงานว่าอาจจะเกิดจากการกินแป้งมากเกินไป ด้วย ?
ส่วนมากโรคไหลตายเกิดจากหัวใจหยุด กะทันหัน พวกที่กินไขมันหรือกินของหวานมาก ๆ ก่อนนอนหรือกินอาหาร
มื้อหนักก่อน นอน เมื่อมีไขมันมากอยู่แล้ว พอกินเข้าไปตอนกลางคืน ไขมันจะเพิ่มขึ้นสูงมาก จึงมีโอกาสสูงที่ไขมันจะอุด
ตัน ที่สมองหรือหัวใจ
สังเกตว่าพวกที่ตายกลางคืนทั้งหลาย ก่อนนอนคืนนั้นมักกินอาหารหนัก ส่วนมากเป็น คนที่มีไขมันในเลือดสูง อย่าง
เป็นความดัน ก่อนนอนแทนที่จะกินอาหารเบา ๆ หรือกินพืชผักผลไม้ เล่นกินอาหารหนักเลย พลังงานเมื่อไม่ได้ใช้ ไขมัน
ก็ขึ้นสูง หัวใจทำงานหนักเนื่อง จากกระเพาะทำงานหนัก เรานอนปิดแต่ตา แต่ทุกอย่าง ยังทำงานหนัก พลังงานก็ไม่ได้
ใช้ ไขมันไปเพิ่มอีก คนที่ไขมันมาก ๆ เส้นเลือดตีบอยู่แล้ว มันจะอุดตันตรงไหนก็ได้ ผมสังเกตดู ถ้าคนสุขภาพดี ไม่กรน
ไม่ได้เป็นโรคหัวใจกับเส้น เลือดมาก่อน และไม่ได้กินอาหารหนักก่อนนอน คุณจะไม่เป็นเด็ดขาด แต่ส่วนมาก พวกที่ไหล
โซเดียมคลอไรต์หรือเกลือต้องลดลงให้มาก ในร่างกายเราประกอบด้วย โซเดียมสูงมากอยู่แล้ว แต่ถ้าเรากินเข้าไปมาก
พอมันเข้าไปในกระแสเลือดมาก มันจะ ดูดน้ำในตัวเรา สังเกตพวกกินเค็มหรือไตไม่ดี เท้าจะบวม เกลือมันจะทำให้เลือด
แต่ถ้ากินเค็มเข้าไป เลือดจะเป็นกรดภูมิต้านทาน จะไม่มีเพราะกินเกลือเข้าไปจะไปขับ โปแตสเซียม
ทำให้เลือดไม่เป็น ด่าง
นอกจากลดกรดแล้ว ให้เพิ่มโปแตส เซียมเข้าไปในร่างกายเพื่อให้เลือดเป็นด่างเนื่องจากคนที่เป็นมะเร็งจะเครียด ไม่
สบาย พอเครียด ร่างกายจะเกิดกรด จะมีคาร์บอนสูงมาก เราจึง ให้กินน้ำต้ม ผัก
ซึ่งมีโปแตสเซียมสูงที่สุด ที่เราเจ็บ ร่างกายอ่อนเพลีย เพราะเราขาดโปแตสเซียม แต่ ถ้าตัวใดตัวหนึ่งมากเกินก็ไม่ดี
เราต้องดูผล เลือด
การแก้เลือดเป็นกรด แก้ได้สองอย่าง กินพืชผักผลไม้ให้มากๆเพื่อเพิ่มโปแตสเซียม อีกอย่างคือ
หายใจเอาออกซิเจนเข้ามามากๆเพราะยิ่งออกซิเจนเข้าไปในเลือดมากเท่าไหร่ ยิ่งทำ ให้เลือดเราเป็นด่าง แต่ถ้าเราไม่ฝึก
หายใจเอาออกซิเจนเข้าไป เลือดเราเป็นกรดเพราะเลือดเราจะมีคาร์บอนไดออกไซด์สูง มาก พวกนี้จะปวดเมื่อยร่างกาย
มาก เขาจึงให้ฝึกหายใจเพื่อเอา คาร์บอนไดออกไซด์ ออกไป แล้วเอาออกซิเจนเข้ามา มันถึงจะหายปวดเมื่อย
อาหารที่สำคัญที่สุดของร่างกายไม่ใช่สารอาหาร แต่เป็นออกซิเจนที่สูดเข้าไป ทำ ให้เลือดเราเป็นด่าง การที่เรานิ่ง
อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ออกกำลังกาย จะมีคาร์บอน ไดออกไซด์ในเลือดสูงมาก ทำให้เลือดเป็นกรด มันจะเมื่อย ล้า
คุณหมอพอจะแนะนำหลักการหายใจอย่างถูกต้องได้ไหม ครับ ?
เงยหน้าเพื่อให้อากาศเข้ามากที่ สุด เวลาหายใจเข้าพยายามให้เข้าทางรูจมูกเท่านั้น เพราะมันจะมีเครื่องกรอง
คือขน จมูก และจะมีเยื่อเมือก ๆ กรองด้วย การหายใจเข้า ให้ปอดพองมากที่สุดสามครั้งติด ๆ กันเลย ครั้งแรก
กลั้นไว้ ครั้งที่ ๒ กลั้นไว้ ครั้งที่ ๓ กลั้น ไว้ เหมือนใจจะขาด พอครบสามครั้ง ค่อย ๆ โน้มตัว ลง อ้าปากเอาพิษ
ออกให้หมด ยิ่งทำบ่อยเท่าไหร่ ปอด ท่านยิ่งมีพลัง มะเร็งปอดจะไม่เป็น เพราะออกซิเจนเข้าไปเต็มที่ ของเสีย
ออกมาเต็มที่
ปอดมีความจุสองข้างประมาณ ๓ ลิตรครึ่งถึง ๔ ลิตร ครึ่ง แต่ถ้าเรายังหายใจแบบธรรมดาอยู่
อากาศเข้า ออกเพียงครึ่งลิตรเท่านั้น บางทีของเสียไม่ได้ออกเลย เหมือนหม้อกรองอากาศไม่เคยเป่าหม้อกรอง
ตัวเองเลย ปอดของเราคือหม้อกรองอากาศ เราต้องช่วยตรงนี้มาก ๆ เราเปลี่ยนปอดไม่ได้ แต่เรา ต้องบริหารการ
หายใจ จะทำให้ปอดมีประสิทธิภาพที่สุด
คนที่เป็นมะเร็งควรจะกินอาหารประเภทใด ?
อาหารธรรมชาติอย่างพืชผักผลไม้ มะเร็งไม่ชอบแต่มีวิตามินสู ง คนเป็นมะเร็งต้อง กินอาหารพวกนี้ คนที่
เป็นมะเร็งส่วนใหญ่จะกินอาหารแบบนี้ได้น้อย จึงขาดพวกเกลือ แร่ เอนไซม์ วิตามิน ฉะนั้นหมอจึง แนะนำ
ให้กินพวกเกลือแร่ วิตามิน เอนไซม์เข้าไปช่วย สรุปแล้วคน เป็นมะเร็งต้องพยายามกินผักผลไม้เพราะต้องการ
ให้ก้อนมะเร็งอดอาหารแต่ไม่ให้ขาด เกลือแร่ วิตามิน เพราะมันจำเป็น ส่วนจะเป็นวิตามินประเภทใดก็ต้องให้
หมอ ตรวจเลือด เพื่อจะรู้ว่าร่างกายเราขาดอะไรก่อน
ด้วยการ กินวิตามินซี ตามหลักของแพทย์องค์รวมเขาบอกว่า วิตามินซีต้องได้อย่างน้อย ๒๐ กรัมต่อ วัน ในร่างกาย
เรามีเซลอยู่ ประมาณ ๗๕ , ๐๐๐ ล้าน เซล เซลล์ดีจะมีเยื่อหุ้มเซลที่เรียก ว่า .... เหมือนเป็นเสื้อเกราะไม่ให้มะเร็งเข้า
มาทำลาย ได้ แต่ถ้าเซลไหนเป็นมะเร็งแล้ว เยื่อหุ้มเซลจะไม่มี แถมเซลมะเร็งจะสร้างเอนไซม์ชนิดหนึ่งเรียกว่า ... ซึ่ง
เป็นตัวร้าย เอมไซม์ตัวนี้จะไปทำลาย เสื้อเกราะของเซลอื่น ทำให้กลายเป็นมะเร็งต่อไป เรื่อย ๆ แต่พอวิตามินซีเข้าไป
ในกระแส เลือด มันจะไปทำลายเอนไซม์ตัวนี้ มะเร็งก็ไม่ขยายตัว นอกจากนี้ วิตามินซี เป็น แอนตี้ออกซิ แดนท์
หรือสารต้านอนุมูลอิสระ มันช่วยลดความเครียดลง ได้ ยกตัวอย่างเช่น คนไข้เจ็บปวด เวลาฉีด วิตามินซี ทำไมคนไข้
สงบเร็วเพราะมันไปลด อีเอสอาร์ หรือลดตะกอนเม็ดเลือด แดง ตะกอนเม็ดเลือดแดงมากเท่าไหร่ หมายความว่าเกิด
การอักเสบหรือเกิดการเสื่อมของร่างกายมากขึ้นเท่านั้น คนปรกติให้กินวิตามิน ซี ๔ - ๕ พันมิลลิกรัมต่อวัน แต่ ถ้าคน
ที่อยู่ในเมืองมีมลภาวะ อย่างน้อยต้อง ๖ พันมิลลิกรัมขึ้น ไป ประเทศที่กินวิตามินซีสูงมาก ประเทศนั้นสุขภาพเขาจะ
มาก แล้วหน้าตาเขาจะดี ประเทศที่กินมากที่สุดคือสวีเดน รองลงไปคือรัสเซีย พวกนี้สุขภาพจะดีมาก ทั้งที่ กินเนื้อ
สัตว์มาก
เรากินวิตามินซีจากส้มเพียงพอหรือไม่ ?
ท่านทราบหรือไม่ว่าส้มลูกหนึ่งมี วิตามินซีอยู่ ๑๐๐ มิลลิกรัม หมายความว่าต้องกินจากต้น แต่ ถ้าส้มหนึ่งลูก เก็บไว้
เจ็ดวัน จะเหลือ ๑ มิลลิกรัมเท่านั้น วิตามินซีหายหมดเลย ดังนั้นถ้า คุณจะกินส้มให้ได้ ๔ พันมิลลิกรัม ต้องกินส้มสี่พัน
ลูก กินวิตามินซีมาก ๆ ทางการแพทย์บอกว่าอาจจะมีปัญหากับระบบ ปัสสาวะ
- รายละเอียด
- ฮิต: 6652
“ คีโม ฆ่า มะเร็ง ได้จริงหรือ? ”
หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น
ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก
1. ทุกๆ คนมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้น
ในระดับพันล้านเซลล์ เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลล์มะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่
สามารถตรวจสอบเซลล์มะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น
2. เซลล์มะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง
3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลล์มะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก
4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆ นั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม
อาหารและปัจจัยอื่นๆ ในการดำรงชีวิต
5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะ
ช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลล์มะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลล์ที่ดี
ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ
ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ
7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลล์มะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลล์ที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ
8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผล
ต่อการทำลายเซลล์เนื้องอก
9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลาย
ลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น
10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลล์มะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุ
ทำให้เซลล์มะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย
11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว
แล้วอะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลล์มะเร็ง ?
A. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลล์มะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น ' นิ
วตร้าสวีต ' ' อีควล ' ' สปูนฟูล ' ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมา
นูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้
' แบรก อมิโน ' หรือเกลือทะเลแทน
B. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลล์มะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การ
ใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลล์มะเร็งไม่ได้รับอาหาร
C. เซลล์มะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแงดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะ
ดีที่สุด รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบาง
ประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง
D. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่าง
กายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้
ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการ
สร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์
จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)
E. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่มให้
เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง
12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดิน
อาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น
13. ผนังของเซลล์มะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตี
กำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลล์มะเร็ง และช่วยให้เซลล์ของร่างกายสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น
14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence,
สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลล์ของร่างกายสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งได้ดี
ขึ้น สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซลล์ หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซลล์ ซึ่งเป็น
กลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัดเซลล์ที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป
15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอด
จากการทำสงครามกับมะเร็ง... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะ
เป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต
16. เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆจะ
ช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง
*** ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์ ***