ให้เรตสมาชิก: 5 / 5

ดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งาน
 

580521_01.jpg - 121.03 kb

     อุบาสิกา..ฐานะอันสูงส่งฝ่ายหญิงในพระศาสนา หนึ่งในเสาหลักที่พุทธบริษัทขาดมิได้  มหาอุบาสิกาวิสาขา...ผู้เป็นกองเสบียงใหญ่พระศาสนา หรือแม้วิชชาอันลึกซึ้งของพระพุทธเจ้านั้นก็ไม่มีการจำกัดเพศภาวะเลย  แม้เป็นสตรีเพศดั่ง พระนางปชาบดีโคตรมีเถรี ก็ได้บวชเข้าถึงพระนิพพานเฉกบุรุษ

     ยังมีอุบาสิกาอีกท่านหนึ่งผู้มีกำลังสมบูรณ์พร้อมอย่างนี้ในครั้งพุทธกาล ท่านมีชื่อว่า มาติกมารดา อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านริมเชิงเขาลูกหนึ่งในแคว้นสาวัตถี  มีศรัทธาในพระรัตนตรัยมาก รักบุญเป็นชีวิตจิตใจ


     ต่อมาในช่วงเข้าพรรษา ได้มีคณะสงฆ์ ๖๐ รูปเดินจาริกมายังหมู่บ้านแห่งนี้  อุบาสิกามาติกมารดาเมื่อได้เห็นก็เกิดจิตศรัทธาว่าเนื้อนาบุญมาโปรด นางจึงนิมนต์พระมาฉันภัตตาหารประณีตรสเลิศมากมาย  และได้ถามคณะสงฆ์ว่า “พระคุณเจ้าต้องการจะไป ณ ที่ใดเจ้าค่ะ”  “พวกอาตมากำลังจะหาที่สักแห่งเพื่อบำเพ็ญสมณธรรมจ้ะ”  นางจึงรู้ได้ทันทีว่าภิกษุสงฆ์กำลังหาสถานที่จำพรรษา  นางคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้สั่งสมบุญได้เต็มที่เพราะโอกาสอย่างนี้หาได้ยาก จึงก้มกราบปวารณาตนว่า “พระคุณเจ้าได้โปรดอยู่จำพรรษา ณ ที่นี้  ตลอดทั้งพรรษานี้จะเป็นโอกาสให้โยมได้ตั้งใจถือศีล ๕ และศีล ๘ อย่างเคร่งครัด และได้ถวายทานแด่พระคุณเจ้าเป็นนิตย์”   เมื่อคณะสงฆ์ก็รับอาราธนา นางจึงบอกให้คนในหมู่บ้านช่วยกันทำความสะอาดสถานที่แห่งหนึ่งใกล้หมู่บ้านและมอบถวายไว้เพื่อให้พระสงฆ์ใช้บำเพ็ญสมณธรรมกันอย่างผาสุก  อีกทั้งอุปัฏฐากปรนนิบัติดูแลภิกษุสงฆ์เป็นอย่างดี ดุจเป็นโยมมารดาของพระก็ว่าได้


     ภิกษุเหล่านั้นต่างก็ไม่ประมาทในการบำเพ็ญสมณธรรม ต่างก็สร้างกติกาขึ้นในการอยู่ร่วมกันว่า “เพื่อให้ไม่เกิดการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ พวกเราควรแยกกันอยู่  ไม่ควรอยู่ในที่เดียวกัน  แต่ว่าพวกเราจะมารวมตัวกันก็ต่อเมื่อบิณฑบาตตอนเช้าและอุปัฏฐากพระเถระตอนเย็น นอกนั้นก็ให้ต่างคนต่างอยู่ เพื่องดการพูดคุยสนทนาต่างๆ ให้มีโอกาสว่างปฏิบัติธรรมได้เต็มที่ แต่ถ้าใครเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย  ก็ให้มาตีระฆังบอกให้รับทราบทั่วกัน  จะได้มาช่วยกันปรุงยาถวายให้พ้นจากความเจ็บป่วย”


     วันหนึ่งอุบาสิกามาติกมารดาพร้อมกับบริวารได้ถือเภสัชและปานะเพื่อจะมาถวายพระ แต่ไม่พบรูปใดเลย เพราะท่านแยกกันบำเพ็ญสมณธรรมตามที่ของตน คนผู้ที่ทราบกติกาสงฆ์ก็ได้บอกนางว่า “ให้ไปตีระฆัง เดี๋ยวพระท่านก็จะมารวมตัวกันเอง”  นางก็ใช้ให้คนไปตีระฆัง  ภิกษุสงฆ์เมื่อได้ยินเสียงระฆังก็นึกว่าคงมีรูปใดไม่สบาย จึงออกจากที่อยู่ของตน อุบาสิกานั้นได้สังเกตเห็นว่า “ลูกพระของเราแต่ละรูปต่างก็มากันตามลำพัง ไม่มีรูปใดเดินร่วมทางเดียวกันมาเลย  สงสัยพวกท่านจะทะเลาะกันกระมัง”    จึงได้ถามสาเหตุนั้นกับคณะสงฆ์  พระท่านก็ตอบว่า “ดูก่อนโยมแม่ พวกฉันแยกกันบำเพ็ญสมณธรรม”  “สมณธรรมนั้นเป็นอย่างไร”   “สมณธรรมก็คือ การบำเพ็ญกรรมฐานพิจารณาอาการ ๓๒ ในร่างกายนี้ไปจนกว่าจะถึงความเสื่อมและความสิ้นไป”   นางจึงถามต่อไปอีกว่า “แล้วกรรมฐานนี้ ฆราวาสอย่างโยมจะสามารถทำได้เหมือนพระหรือไม่”   “ดูก่อนโยมแม่ กรรมฐานนี้ แม้เป็นโยมก็สามารถปฏิบัติได้ ไม่มีห้ามไว้หรอก”


     อุบาสิกานั้นจึงได้ขอเรียนรู้จากภิกษุสงฆ์ นางตั้งใจปฏิบัติอย่างเต็มที่ในการพิจารณาความเสื่อมและความสิ้นไปในตัวเอง จนได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีก่อนพระทีเดียว  เมื่อนางได้รับสุขจากการบรรลุธรรม ก็ใช้ทิพยจักษุตรวจดูการปฏิบัติของเหล่าภิกษุ นางได้รู้ว่า “พระคุณเจ้ายังมิได้บรรลุธรรมใดใดๆกันเลย  แต่ว่าพอจะมีอุปนิสัยที่จะบรรลุพระอรหันต์ได้”  นางจึงตรวจดูต่อไปว่า “ไม่ว่าจะเป็นเสนาสนะและบุคคลก็ล้วนเป็นที่สบาย  ยังเหลือแต่อาหารเท่านั้นที่จะต้องทำให้เป็นที่สบายยิ่งขึ้นไป”  พอนางจับจุดได้อย่างนี้ จึงนำอาหารมากมายหลายอย่างโดยจัดให้ตามความชอบใจอย่างเต็มที่  เหล่าภิกษุได้อาหารเป็นที่สบายจึงปฏิบัติธรรมได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ช้านานก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์พร้อมกับแตกฉานปฏิสัมภิทากันทุกรูป  ต่างก็พากันสรรเสริญอุปการคุณของอุบาสิกานั้นว่า “ถ้าพวกเราไม่ได้อาหารเป็นที่สบายจากโยมมารดาแล้ว  การแทงตลอดในมรรคผลก็คงจะไม่มีแก่พวกเราเป็นแน่”


     เมื่อออกพรรษาทั้งหมดก็ลาอุบาสิกาเพื่อไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา และทูลเล่าเรื่องการรู้วาระจิตของอุบาสิกานั้นให้ทรงสดับว่า “เมื่อต้องการจะฉันอาหารชนิดใด นางก็จัดให้ตามที่คิดเลย พระเจ้าข้า”


     ภิกษุรูปหนึ่งได้ยินเรื่องราวของอุบาสิกาก็ปรารถนาจะพบนางให้ได้  ท่านจึงทูลลาพระศาสดาเพื่อไปบำเพ็ญสมณธรรมที่หมู่บ้านนั้น เมื่อจาริกไปถึงก็เข้าไปพักในสถานที่เดิมที่หมู่ภิกษุเคยใช้อาศัยอยู่  ท่านได้เกิดความคิดขึ้นมาว่า “ใครๆต่างก็ล่ำลือกันว่าอุบาสิกามาติกมารดาสามารถรู้วาระจิตได้  ตอนนี้เรายังเหนื่อยกับการเดินทาง ไม่มีแรงทำความสะอาดที่พักเลย  ขออุบาสิกาท่านนั้นจงส่งคนมาทำความสะอาดด้วยเถิด”   อุบาสิกามาติกมารดาแม้จะอยู่ในบ้านของตนก็รับรู้วาระจิตพระรูปนี้ได้ จึงส่งคนมาทำความสะอาดในทันใด   หรือเมื่อท่านต้องการจะฉันภัตตาหารหรือปานะชนิดใด เพียงแค่นึกเท่าขอเท่านั้น  ก็จะมีคนมาส่งถวายให้สมประสงค์ทุกคราวไป


     ต่อมาภิกษุนี้ต้องการจะพบตัวจริงของอุบาสิกานี้ นางก็เดินทางมาให้พบตามประสงค์พร้อมกับนำภัตตาหารรสเลิศมาถวายอีกเช่นเคย พอพระฉันเรียบร้อยแล้วจึงถามขึ้นว่า “ท่านชื่อว่ามาติกมารดาใช่ไหม ได้ยินว่าท่านสามารถทราบวาระจิตคนอื่นได้”  “พระคุณเจ้าถามทำไมหรือ”  “เพียงแค่ฉันต้องการสิ่งใด ก็ได้ตามที่ขอ”  “ลูกเอ๋ย คนที่รู้วาระจิตได้ก็มีถมไปนะ”  “ฉันไม่ได้ถามถึงคนอื่น แต่ถามตัวโยมคนเดียวนั่นแหล่ะ”   แต่นางก็มิได้บอกตรงๆ เพียงตอบเลี่ยงๆว่า “ลูกเอ๋ย ธรรมดาคนที่รู้จิตได้ ก็จะทำอย่างนี้ได้”


     ภิกษุนี้จึงคิดว่า “เรายังเป็นปุถุชน อาจจะมีความคิดดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ถ้าเราคิดในสิ่งที่ไม่สมควร อุบาสิกาท่านนี้ก็จะรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ เราควรจะหนีไปจากที่นี้เสีย”  แล้วอำลานางทันทีโดยบอกว่าจะกลับไปเข้าเฝ้าพระศาสดา  แม้นางจะอ้อนวอนขอให้ท่านอยู่ต่อก็ไม่สำเร็จ เมื่อท่านกลับไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาและทูลเรื่องราวอุบาสิกานี้ให้ทรงสดับ พระพุทธองค์ก็ตรัสประทานโอวาทว่า “ภิกษุ เธอควรกลับไปที่นั้นเช่นเดิม แต่ว่าเธอจงรักษาสิ่งๆ เดียวนั่นก็คือจิตของตัวเอง จงข่มจิตไว้อย่าคิดถึงอารมณ์อย่างอื่น ธรรมดาจิตนี้ข่มได้ยาก เพราะมักซัดส่ายไปตามอารมณ์ต่างๆ  การมีจิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้”


     ภิกษุนี้จึงต้องกลับไปยังหมู่บ้านนั้นเหมือนเดิม  ทางฝ่ายมาติกมารดาก็เห็นล่วงหน้าด้วยญาณทัศนะของตนว่า “พระลูกชายของเรานี้ได้รับโอวาทจากอาจารย์แล้วจึงกลับหาเราอีกครั้ง”  จากนั้นก็ได้เตรียมอาหารประณีตอย่างดีตามที่ท่านชอบ  เมื่อท่านได้อาหารเป็นที่สบาย เพียงไม่กี่วันก็สามารถทำใจหยุดนิ่งบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์หมดกิเลสในที่สุด  ท่านได้รับความสุขอันมหาศาลนี้จึงเกิดความคิดขึ้นว่า “น่าขอบใจ เราได้อาศัยมหาอุบาสิกานี้เป็นที่พึ่ง เราจึงสลัดตนให้แล่นหลุดจากภพชาติแห่งการเกิด” จากนั้นท่านก็ได้มีโอกาสแสดงธรรมเรื่องมรรคผลแก่มหาอุบาสิกามาติกมารดา เพื่อตอบแทนในการที่นางเป็นผู้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการบรรลุธรรมของท่านครั้งนี้


     ในชีวิตลูกผู้หญิงผู้มีบุญต้องมีโอกาสฝึกตน..ทำให้งดงามทั้งกายวาจาใจ และยกตน..ให้ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ยิ่งๆขึ้นไป โดยบวชเป็น “อุบาสิกาแก้ว” ธิดาพระพุทธเจ้า แม้บวชกายมิได้อย่างพระแต่สามารถละกามคุณบวชใจห่มครองอาภรณ์สไบแก้วอันศักดิ์สิทธิ์ดุจสไบของพรหม และประพฤติอยู่ผู้เดียวให้ปลอดจากพันธนาการเพื่อการเข้าถึงธรรมเป็นหน่อเนื้อแห่งพุทธะ ดุจหน่ออ่อนธรรมะที่รอวันแทงยอดเติบโตขยายเป็นลำต้นไม้ใหญ่ ก่อนที่จะมาเป็นกำลังสำคัญยิ่งในภารกิจเชิญชวนชายแท้มาอุปสมบทเป็นพระแท้ ๑ แสนรูปทั่วไทย เพราะพลังของอุบาสิกาแก้วทุกๆท่านนั้นไม่มีขีดจำกัด เปี่ยมด้วยแรงไจสติปัญญาและศักยภาพ  สามารถทำหน้าที่ยกใจผู้มีบุญให้มาบวชได้ไม่แพ้บุรุษเพศชายเลยทีเดียว

 

ค้นหา

ยอมรับเงื่อนไข ข้อมูลส่วนบุคคล