• Description slide 1

  • Description slide 2

  • Description slide 3

  • Description slide 4

ให้เรตสมาชิก: 4 / 5

ดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งานดาวใช้งานดาวไม่ได้ใช้งาน
 

๑.สำรวมระวังในพระปาฏิโมกข์

 

       “สำรวมระวังในพระปาฏิโมกข์”  นี้มีศัพท์บัญญัติในพระพุทธศาสนาว่า “ปาฏิโมกขสังวรศีล” มีคำศัพท์แยกออกมาพิจารณาได้ ๓ คำ คือ

คำที่ ๑ “ปาฏิโมกข์” แปลว่า ยังผู้รักษาให้พ้นทุกข์

คำที่ ๒ “สังวร” แปลว่า ความสำรวม การระวังปิดกั้นบาปอกุศล

คำที่ ๓ “ศีล” คำนี้มีคำแปลได้หลายอย่าง เช่น เจตนาในการงดเว้นบาปทั้งปวง ข้อปฏิบัติสำหรับควบคุมกาย วาจาให้ตั้งอยู่ในความดีงาม ความประพฤติที่ดีทางกาย วาจา เป็นต้น แม้จะมีคำแปลแตกต่างกันก็ตาม แต่โดยความหมายแล้วเหมือนกัน คือ สนับสนุนให้คนประพฤติกุศลกรรม

      ดังนั้น “ปาฏิโมกขสังวรศีล” จึงหมายถึง “เจตนาในการสำรวมระวังตนให้ประพฤติดีงามทางกายและวาจา เพื่อตนจะได้พ้นทุกข์”

 

 

วิธีปฏิบัติ “ปาฏิโมกขสังวรศีล”

      นั้นอาจแยกอธิบายเพื่อให้เข้าใจง่ายเป็น ๓ หัวข้อ ดังนี้

๑) ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร

๒) มีปรกติเห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย

๓) สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย

 

๑) ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร

      ในหัวข้อนี้มีคำศัพท์ที่ต้องแยกพิจารณาอยู่ ๒ คำ คือ “มรรยาท” กับ “โคจร”  คำว่า “มรรยาท” บางที่ก็เขียน “มารยาท” แต่ในตำราพระพุทธศาสนา มักนิยมใช้คำว่า“อาจาระ” อาจาระนั้นแบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คือ อาจาระที่ดี กับ อาจาระที่ไม่ดี 

อาจาระที่ดี คือ การไม่ล่วงละเมิดทางกายและทางวาจา นั่นคือการสำรวมระวังในศีลทั้งมวล มีความเคารพยำเกรงในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และภิกษุผู้มีพรรคมากกว่า ถึงพร้อมด้วยหิริโอตตัปปะ นุ่งห่มเรียบร้อยมีอากัปกิริยาท่าทางที่สงบสำรวมงดงาม ดูแล้วน่าเลื่อมใส สำรวมอินทรีย์ รู้จักประมาณในการบริโภค มีความเพียร ประกอบด้วยสติและสัมปชัญญะ เป็นผู้มักน้อย สันโดษไม่คลุกคลีกับหมู่คณะ

อาจาระที่ไม่ดี คือ การล่วงละเมิดทางกายหรือทางวาจาหรือทั้งทางกายและทางวาจา พระภิกษุมีอาจาระไม่ดีย่อมเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาอาชีวะ เช่น การพูดประจบสอพลอ หรือให้สิ่งของเพื่อให้เขารักหรือประจบสอพลอด้วยการขออุ้มเด็กเล่น การพูดหยอกล้อที่เล่นที่จริง หรือการอาสารับใช้ทำกิจให้ฆราวาสโดยหวังอามิสรางวัลจากเขา อาจาระที่ไม่ดีนั้นถือว่าเป็นการประพฤติทุศีลด้วยประการทั้งปวง   นอกจากนี้ อาจาระที่ไม่ดีของพระภิกษุ ยังรวมถึงกิริยาอันไม่สมควรต่าง ๆ เช่น การไม่ทำความเคารพพระเถระหรือพระภิกษุผู้มีพรรษาสูงกว่า การยืนหรือนั่งเบียดเสียดในที่ชุมนุมสงฆ์ การนั่งเบียด นั่งบังหน้านั่งคลุมศรีษะ บังหน้าพระเถระในที่ประชุม การแกว่งแขนขณะที่พูดกับพระเถระ การสวมรองเท้าเดินจงกรมอยู่กับพระเถระที่กำลังเดินจงกรมโดยไม่สวมรองเท้า การแย่งชิงขึ้นหน้าพระเถระขณะเดินตามทางหรือเดินเข้าประตู การกีดกันอาสนะภิกษุใหม่ หรือเบียดเสียดเพื่อกีดกันพระภิกษุใหม่

 

      ภิกษุบางรูป เมื่ออยู่ท่ามกลางสงฆ์ไม่แสดงอาการนอบน้อมต่อพระเถระ เมื่อจะแสดงความคิดเห็นของตนก็ไม่ขออนุญาตพระเถระผู้เป็นประธานในที่ประชุมเสียก่อน ในกรณีที่ไปสู่บ้านฆราวาสก็ฉวยโอกาสเข้าไปดูตามห้องต่าง ๆ เมื่อพบเด็กก็ลูบคลำศรีษะ เมื่อพบหญิงก็ เข้าไปสนทนาซักถามถึงเรื่องภัตตาหารว่าเธอจะจัดถวายสิ่งใดให้บ้าง ความประพฤติดังกล่าวแล้วนี้ล้วนเป็นตัวอย่างของอาจาระที่ไม่ดีทั้งสิ้น

 

      ในทางกลับกัน พระภิกษุที่มีความเคารพอ่อนน้อมต่อพระเถระ นุ่งห่มสละสลวย เรียบร้อย สำรวมระวังกิริยาในขณะที่เคลื่อนไหวศีลอดเวลา มีอิริยาบถเสงี่ยมงาม มีสายตาทอดลงต่ำ ไม่เหลียวซ้ายแลขวาหรือแสดงอาการหลุกหลิกลุกลี้ลุกลน มีความปรารถนาน้อย มีความหนักแน่น อดทน จะกล่าววาจาใดก็เปี่ยมไปด้วยความสำรวม และเมตตาธรรม เหล่านีคือตัวอย่างของอาจาระที่ดี

 

อีกคำหนึ่งก็คือ “โคจร”

      ซึ่งหมายถึงบุคคลหรือสถานที่ซึ่งพระภิกษุควรไปมาหาสู่ หรือสิ่งที่พระภิกษุควรเข้าไปเกี่ยวข้อง พระภิกษุที่ตั้งอยู่ในโคจรย่อมไปมาหาสู่เฉพาะที่ที่ควรไปเท่านั้น เช่น สถานที่ หรือบุคคลที่อำนวยประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าหรือการประพฤติพรหมจรรย์ของพระภิกษุโดยตรง

โคจรแบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะ ๑ ได้แก่      

๑) โคจรที่ควรเข้าไปอาศัย

๒) โคจรที่ควรรักษา

๓) โคจรที่ควรใส่ใจ 

 

๑) โคจรที่ควรเข้าไปอาศัย

      หมายถึง กัลยาณมิตรพร้อมบริบูรณ์ด้วยกว่าวัตถุ ๑๐ประการ ได้แก่

๑. อัปปิจฉกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความปรารถนาน้อย ไม่มักมาก ไม่อยากเด่นอยากดัง

๒. สันตุฏฐิกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความสันโดษไม่ชอบ ฟุ้งเฟ้อ

๓. ปวิเวกกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความสงัดกายใจ

๔. อสังสัคคกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่

๕. วิริยารัมภกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้มุ่งมั่นทำความเพียร

๖. สีลกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล

๗. สมาธิกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำจิตมั่น

๘. ปัญญากถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดปัญญา

๙. วิมุตติกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลสและ ความทุกข์

๑๐. วิมุตติญาณทัสสนกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้สนใจและเข้าใจเรื่องความรู้ความเห็นในภาวะที่หลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์

      บุคคลที่บริบูรณ์พร้อมด้วยกถาวัตถุ ๑๐ ประการนี้ ถือว่าเป็นโคจร เป็นผู้ที่พระภิกษุควรเข้า ไปหา เข้าไปอาศัย เพื่อชักถามปัญหาข้อสงสัยต่าง ๆ

 

 

๒) โคจรที่ควรรักษา

      หมายถึง มรรยาทหรืออาจาระที่ดีงามของพระภิกษุ เช่น การเดินอย่างสงบเสงี่ยมสายตาทอดต่ำลงไม่เหลียวช้ายแลขวาดูหญิงดูชายหรือสิ่งต่าง ๆ หรือแหงนดูเบื้องบน หรือก้มหน้าดูข้างล่างจนปราศจากความสำรวมเหล่านี้คือโคจรที่ควรรักษาของพระภิกษุ

 

 

๓)  โคจรที่ควรใส่ใจ

      หมายถึง สติปัฏฐาน ๔ คือ

๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การตั้งสติตามเห็นกายในกาย คือ กายต่าง ๆ ที่ซ้อนกันอยู่ในกายมนุษย์นี้นับตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียดหรือกายฝัน จนกระทั่งถึงกายธรรมระดับต่าง ๆ

๒. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การตั้งสติตามเห็นเวทนาในเวทนา คือ ความรู้สึกสุข ทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ของกายต่าง ๆ ที่ซ้อนกันอยู่ในกายมนุษย์นี้

๓. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การตั้งสติตามเห็นจิตในจิต คือ ดวงจิตของกายต่าง ๆ ที่ซ้อนกันอยู่ในกายมนุษย์

๔. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การตั้งสติตามเห็นธรรมในธรรม คือ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายต่าง ๆ ตั้งแต่กายมนุษย์จนถึงกายธรรม

 

 

ตรงกันข้ามกับโคจร คือ อโคจร

      “อโคจร”หมายถึง บุคคลและสถานที่ซึ่งพระภิกษุไม่ควรไปมาหาสู่ มี ๖อย่าง คือ

    หญิงแพศยา (โสเภณี)

    หญิงหม้ายสาวเทื้อ (สาวแก่)

    ภิกษุณี บัณเฑาะก์ (กะเทย)  

    และร้านสุราในสภาพสังคมปัจจุบัน

 

      อโคจรนั้นมีอยู่มากมายเกินกว่าอย่างดังกล่าว เช่น โรงมหรสพ สถานเริงรมย์ต่างๆ และศูนย์การค้าต่างๆ เป็นต้น พระภิกษุที่ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร ย่อมไม่ไปสู่ที่โคจร เพราะละอายใจและกลัวเสียชื่อเสียง  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวเปรียบพระภิกษุผู้เที่ยวไปในอโคจรว่า “เหมือนโคที่เที่ยวไปในถิ่นเสือและราชสีห์  หรือเหมือนเต่าปลาอันเที่ยวไปในเขตที่ดินของชาวประมง เป็นต้น”๒

 

      อย่างไรก็ตาม สำหรับอโคจร ถ้าเขาเชื้อเชิญนิมนต์ด้วยกิจอันสมควร พระภิกษุก็สามารถไปปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนักบวชได้ แต่จะต้องไม่ไปด้วยเรื่องอื่น นอกจากกิจนิมนต์ เช่นไม่ไปสนทนาปราศรัยอย่างสามัญชนทั่วไป เพราะอาจจะถูกเข้าใจว่ามีความประพฤติผิดไปจากพระธรรมวินัย เป็นพระภิกษุน่ารังเกียจ พระภิกษุมีอาจาระดีและตั้งอยู่ในโคจร ดังได้พรรณนามาแล้ว ย่อมได้ชื่อว่า “ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร”

 

 

๒) มีปรกติเห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย

      “โทษ” ในที่นี้ หมายถึง ความชั่วหรือความผิด ขึ้นชื่อว่าโทษแล้ว แม้จะมีเพียงน้อยนิดเท่าใดก็ย่อมเป็นโทษอยู่นั่นเองไม่มีทางจะเป็นคุณไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น โทษภัยแม้เพียงเล็กน้อยยังสามารถเป็นเชื้อแพร่กระจายทำให้เกิดโทษภัยลุกลามกว้างขวางใหญ่โตออกไปอีกด้วย อุปมาเหมือนลูกไฟ แม้เล็กนิดเดียวหากกระเด็นไปถูกวัตถุไวไฟเข้าก็อาจจะเผาบ้านเมืองได้

 

      พระภิกษุบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ก็เพราะมีจุดมุ่งหมายที่จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์เพื่อให้ถึงซึ่งความเป็นผู้ประเสริฐ ดังนั้นจึงต้องพยายามละเว้นความชั่วทุกอย่าง ด้วยการระมัดระวังมิให้ประพฤติผิดพลาดอย่างเด็ดขาดแต่ถ้าเมื่อใดเกิดประพฤติผิดพลาดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยโดยมิได้เจตนาก็จะต้องตระหนักว่านั่นคือตนได้ก่อบาปอกุศลขึ้นแล้วจำเป็นที่จะต้องระมัดระวัง แก้ไข ปรับปรุง หรือหลีกเลี่ยงการปฏิบัติเพื่อที่จะไม่ให้บาปอกุศลเกิดขึ้นอีกในภายหน้า

 

      ทั้งจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังเป็นความผิดอยู่นั้นเองถึงแม้จะมีโทษเพียงเล็กน้อย ก็ยังเป็นโทษอยู่นั้นเองไม่มีทางจะเป็นคุณไปได้เลย หากพระภิกษุตั้งอยู่ความประมาทมองข้ามภัยของโทษแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะประสบความหายนะได้ ขึ้นชื่อว่าอสรพิษแล้ว ไม่ว่าจะตัวเล็กแค่ไหนก็มีอันตรายไม่แพ้ตัวใหญ่ ด้วยเหตุนี้พระภิกษุจึงต้องฝึกตนให้เป็นผู้ “มีปรกติเห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย”

 

๓) สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย

      “สมาทาน” หมายถึง การรับเอาเป็นข้อปฏิบัติ “สิกขาบท” หมายถึงศีลแต่ละข้อ ๆ พระภิกษุในพระพุทธศาสนา เมื่อสำเร็จญัตติจตุตถกรรม๓ ในท่ามกลางสงฆ์ ได้รับความยินยอมจากพระภิกษุทั้งปวงในองค์ประชุมสงฆ์ในพิธีอุปสมบท ให้มีภาวะเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว ย่อมถือว่าได้สมาทานศีลสิกขาบทน้อยใหญ่ไว้สมบูรณ์เรียบร้อยแล้วทันที ไม่ต้องมีการสมาทานกันอีก

 

      ดังนั้น พระภิกษุจึงจำเป็นต้องศึกษาเจตนารมณ์ หรือจุดมุ่งหมายของสิกขาบทแต่ละข้อ ๆ ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญติไว้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ทั้งต้องจำได้ขึ้นใจ เพื่อให้สามารถปฏิบัติสิกขาบทแต่ละข้อ ก็ได้โดยบริบูรณ์บริสุทธิ์ไม่มีผิดพลาดจึงจะได้ชื่อว่า “สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย”

 

      พระภิกษุผู้มีการปฏิบัติพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย และสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ดังได้พรรณนามาแล้วนี้ ย่อมได้ชื่อว่า “สำรวมระวังในพระปาฏิโมกข์”หรือบริบูรณ์พร้อมด้วย “ปาฏิโมกขสังวรศีล”

 

      มีสิ่งที่น่าพิจารณาอยู่อย่างหนึ่ง คือ การสำรวมระวังในพระปาฏิโมกข์ของพระภิกษุจะประสบความสำเร็จได้ก็ด้วยศรัทธาของพระภิกษุเอง ไม่มีใครบังคับได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงกำชับพระภิกษุสงฆ์ ให้เป็นผู้มีความเคารพี รักในศีลดังที่ทรงให้โอวาทไว้ว่า

 

      “.. นางนกต้อยติวิด รักษาฟองนิดฉันใดแลทราย ย่อมรักษาขนหาง มารดาย่อมรักษาบุตรยอดรัก คนเอกจักษุย่อมรักษานัยน์ตาข้างเดียวไว้ฉันใด เธอทั้งหลายจงรักษาศีลให้เหมือนอย่างนั้น จงเป็นผู้มีศีลเป็นที่รักมีความเคารพจงดีทุกเมื่อเถิด”๔

 

  ดังนั้น พระภิกษุมีปณิธานย่อมจะยังพระปาฏิโมกข์ให้บริสุทธิ์หมดจด

แม้จะต้องสละชีวิตก็จะไม่ยอมล่วงละเมิดศีล ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้

 

-------------------------------------

 

 

๑  พระวิสุทธิมัคค์ เผดจ เล่ม ๑ ทน้า ๕๒

๒ ตามรอยพระอรหันต์ หน้า ๑๗๙

๓ ญัตติจตุตถกรรม แปลว่า กรรมมีญัตติเป็นที่ ๔ ได้แก่ การทำสังฆกรรมที่สำคัญ มีการอุปสมบท เป็นต้น ซึ่งเมื่อตั้งญัตติแล้ว ต้องสวดอนุสาวนาคำประกาศขอมติถึง ๓ หน เพื่อสงฆ์ คือ ที่ชุมนุมนั้นจะได้มีเวลาพิจารณาหลายเที่ยวว่าจะอนุมัติหรือไม่๔ พระวิสุทธิมัคค์ เผดจ เล่ม ๑ หน้า ๗

 

ค้นหา

ยอมรับเงื่อนไข ข้อมูลส่วนบุคคล