กฐินทาน กาลทานที่มีผลานิสงส์มาก
คำสอนในพระพุทธศาสนากล่าวว่า “ทาน” หรือ “การให้” เป็นความดีที่เป็นสัมมาทิฐิเบื้องต้นของมนุษย์ทุกคน เพราะทั้งการให้ การแบ่งปัน หรือการสงเคราะห์ล้วนเป็น
คุณธรรมที่เกื้อกูลกันระหว่างชีวิตต่อชีวิต เป็นพื้นฐานความดีที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป ดังเช่น พระสัมมา-สัมพุทธเจ้าในครั้งยังสร้างบารมี กว่า
พระองค์จะทรงประสบความสำเร็จขั้นสูงสุดในชีวิต คือการตรัสรู้ธรรม พระองค์ก็ทรงอาศัยการทำทานเป็นจุดเริ่มต้นของการสั่งสมความดี
ยิ่งไปกว่านั้น “ทาน” ยังเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะรองรับการทำความดีอื่น ๆ ที่จะตามมา และ “ทาน” ที่สั่งสมไว้ดีแล้วย่อมอำนวยผลอย่างไม่มีประมาณเหมือนกัน ดังที่
พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ใน ทานสูตร ว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้ผลแห่งการจำแนกทานเหมือนอย่างเรารู้ไซร้สัตว์ทั้งหลายยังไม่ให้แล้วก็จะไม่พึงบริโภค อนึ่ง ความ
ตระหนี่อันเป็นมลทินจะไม่พึงครอบงำจิตของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นไม่พึงแบ่งคำข้าวคำหลังจากคำข้าวนั้น แล้วก็จะไม่พึงบริโภค ถ้าปฏิคาหก (ผู้รับ
ทาน) ของสัตว์เหล่านั้นพึงมี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่เพราะสัตว์ทั้งหลายไม่รู้จำแนกทานเหมือนอย่างเรารู้ฉะนั้นสัตว์ทั้งหลายไม่ให้แล้วจึงบริโภค อนึ่ง
ความตระหนี่อันเป็นมลทินจึงยังครอบงำจิตของสัตว์เหล่านั้น”
ในบรรดาทานทั้งหลายที่มีผลานิสงส์มากกฐินทานนับเป็นทานชนิดหนึ่ง ซึ่งในปีหนึ่งจะทำได้เพียงครั้งเดียว ในระยะเวลาเพียง ๑ เดือนหลังจากออกพรรษา กฐินทาน
จึงได้ชื่อว่าเป็น “กาลทาน” ผู้ที่ให้ทานตามกาลอันควรแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และย่อมเป็นผู้มีความต้องการที่เกิดขึ้น
ตามกาลบริบูรณ์ในที่ที่ทานนั้นส่งผล
กฐินทานยังจัดว่าเป็นสังฆทาน คือ ทานที่ให้แก่หมู่คณะ ไม่เฉพาะเจาะจงผู้ใดผู้หนึ่งโดยข้อกำหนดที่ว่า สังฆทาน คือ ทานที่ถวายสงฆ์ทั้ง ๗ ประเภท ได้แก่
๑. สงฆ์ ๒ ฝ่าย (ภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์) มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข
๒. สงฆ์ ๒ ฝ่าย ในเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานแล้ว
๓. ภิกษุสงฆ์
๔. ภิกษุณีสงฆ์
๕. บุคคลที่ได้รับอนุมัติจากสงฆ์ ๒ ฝ่าย
๖. บุคคลที่ได้รับอนุมัติจากภิกษุสงฆ์
๗. บุคคลที่ได้รับอนุมัติจากภิกษุณีสงฆ์
เจ้าภาพผู้ทำกฐินทานจำเป็นต้องถวายผ้ากฐินแด่พระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุมัติจากมติสงฆ์ ดังนั้นกฐินจึงจัดว่าเป็นสังฆทานซึ่งมีอานิสงส์มากกว่าปาฏิปุค
คลิกทานดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้อย่างชัดเจน เมื่อครั้งที่พระนางมหาปชาบดีโคตมีมีพระประสงค์จะถวายผ้าเจาะจงเฉพาะพระพุทธองค์ ดังเรื่องราวต่อไปนี้
ครั้งหนึ่ง พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงถือผ้าคู่หนึ่งเข้าไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังที่ประทับ กราบทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผ้าใหม่คู่นี้
หม่อมฉันกรอด้าย ทอเอง ตั้งใจนำมาถวายเฉพาะพระองค์ ขอพระองค์ทรงอนุเคราะห์ รับผ้าคู่นี้ด้วยเถิด”
พระศาสดาสดับคำกราบทูลแล้ว ตรัสตอบว่า “ดูก่อนโคตมี พระนางจงถวายสงฆ์เถิด เมื่อถวายสงฆ์แล้ว จักเป็นการได้บูชาอาตมภาพและสงฆ์ด้วย”
พระนางกราบทูลขอถวายเฉพาะพระองค์แม้ครั้งที่ ๒ และแม้ครั้งที่ ๓ แต่พระพุทธองค์ตรัสตอบเช่นเดิม เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสยืนยันอย่างนี้ พระอานนท์จึง
กราบทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์ทรงรับผ้าคู่ใหม่ของพระนางมหาปชาบดีโคตมีด้วยเถิด พระนางมีอุปการะมาก เป็นพระมาตุจฉา(น้า
หญิง) ผู้ทรงบำรุงเลี้ยงประทานพระขีรรส(น้ำนม) แด่พระองค์เมื่อพระชนนีสวรรคตไปแล้ว และแม้พระองค์ก็ทรงมีอุปการะแก่พระนางเป็นอันมากพระนาง
ทรงอาศัยพระองค์จึงทรงเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ ทรงเว้นจากเวรทั้ง ๕ ได้ ทรงประกอบด้วยความเลื่อมใส ไม่หวั่นไหวในพรรัตนตรัย
และทรงประกอบด้วยอริยศีลถึงที่สุดแห่งทุกข์ทั้งปวง”
พระศาสดาทรงรับรองคำของพระอานนท์และตรัสเช่นเดิม โดยทรงมุ่งให้พระนางได้บุญมาก ได้อานิสงส์มาก ๆ เพราะการถวายสังฆทานมีผลมากกว่าปาฏิปุคคลิกทาน
ดังพระดำรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ เราไม่กล่าวปาฏิปุคคลิกทานว่ามีผลมากกว่าสังฆทานโดยปริยายใด ๆ เลย สังฆทานเป็นประมุขของผู้หวังบุญ พระสงฆ์นั่น
แหละเป็นประมุขของผู้บูชา และพระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า”
ในช่วงเวลาแห่งเทศกาลทำบุญกฐินสังฆทานตามกาล ที่กำลังจะใกล้เข้ามาถึงนี้นับเป็นโอกาสดีที่พวกเราเหล่าพุทธศาสนิกชนทั้งหลายจะได้ตักตวงบุญใหญ่ ด้วย
การเป็นเจ้าภาพกฐินทั้งที่วัดพระธรรมกาย ศูนย์สาขาและวัดต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งนอกจากเป็นการทำตามประเพณีอันดีงามแล้ว ยังเป็นการสืบทอด
พระพุทธศาสนา และที่สำคัญยังได้ทำมหาทานกุศลซึ่งมีอานิสงส์มาก ที่จะทำให้เราได้ทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติคุณสมบัติ และเมื่อมีความต้องการสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้น
บริบูรณ์สมควรตามกาล ดังนั้นเราจึงไม่ควรพลาดที่จะได้สั่งสมบุญใหญ่ในช่วงกฐินทานนี้กันทุกคน
DOU ความรู้สากล
เรื่อง : พระมหาวุฒิชัย วุฑฺฒิชโย ป.ธ. ๙