อานิสงส์ถวายน้ำอ้อย
“นายโคบาลย่อมต้อนโคทั้งหลายไปสู่ที่หากินด้วยท่อนไม้ ฉันใด
ความแก่ชราและความตายย่อมต้อน อายุของสัตว์ทั้งหลายไป ฉันนั้น”
(ขุ.ธ.)
นายโคบาล คือ คนเลี้ยงโค มีหน้าที่ต้อนฝูงโคไปหากินตามทุ่งหญ้าทั้งวัน พอตกเย็นก็ต้อนฝูงโคกลับเข้าคอก ทำเช่นนี้เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี จนกว่าฝูงโคจะเติบโตเต็มที่ และ
เมื่อถึงเวลาก็จะต้อนเข้าสู่โรงฆ่าสัตว์ เช่นเดียวกับชีวิตของเราที่ถูกชรา คือ ความแก่ และมัจจุ คือ ความตาย ต้อนไปสู่ความเสื่อมสลาย ทุกขณะ ทันทีที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ชีวิตของเราก็เหมือนเทียนที่ถูกจุดขึ้น และส่องแสงสว่างไสวไปเรื่อย ๆ จนเมื่อไส้เทียนหมดลง เทียนเล่มนั้นก็ต้องถึงกาลเวลาวูบดับในที่สุด
แต่บางครั้งเราจะพบว่า เทียนบางเล่มเมื่อถูกลมพัด ก็จำต้องดับวูบลงกลางคัน ไม่อาจให้ความสว่างไสวจนไส้เทียนหมดเล่มเสมอไป เปรียบเสมือนชีวิตของบางคนที่ต้องตาย
ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา บ้างก็ตายตอนเด็ก บ้างก็ตายตอนยังเป็นหนุ่มสาว อยู่ได้ไม่ถึงตอนแก่ บางคนตายเพราะถูกโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน บางคนตายเพราะอุบัติเหตุ ดังนั้นการตาย
ของแต่ละคนจึงมีสมุฏฐานที่ต่างกัน ความแน่นอนของชีวิตว่าจะตายเมื่อไรเป็นสิ่งที่กำหนดไม่ได้ แล้วแต่บุญทำกรรมแต่งของแต่ละบุคคล แต่ถึงอย่างไรก็ต้องตายกันทุกคน เพียงแต่จะ
เร็วหรือช้าเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะตายเร็วหรือ ตายช้า ก็ไม่ได้เป็นเครื่องวัดความมีโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หากต้องดูกันตรงที่ขณะยังมีชีวิตอยู่ แต่ละคนได้สั่งสมบุญกุศลอะไรบ้าง และมองไกลไปถึงชีวิตหลังความตายด้วยว่า ตายแล้วไปไหน มีสุคติหรือทุคติเป็นที่ไป เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว เราจึงไม่ควรประมาท ในวัยและชีวิต ต้องหมั่นหาโอกาสสั่งสมบุญ ให้มากที่สุด ก่อนที่ความตายจะมาถึง
หนทางในโลกนี้ทุกแห่งหนล้วนแล้วแต่ไม่ปลอดภัย เพราะหากเราจะเดินทางไปทางน้ำ ก็ต้องเสี่ยงกับคลื่นลมมรสุม อาจเป็นเหตุให้ เรืออับปางได้ หรือเดินทางไปทางอากาศก็
ต้องเสี่ยงกับเมฆหมอกพายุฝนหรือทัศนวิสัยที่ไม่ดี ถ้าไปทางบกก็ต้องเสี่ยงกับอุบัติเหตุระหว่างทาง แม้หนทางที่แสวงหากำไรจากการประกอบธุรกิจ ก็ต้องเสี่ยงกับภาวะขาดทุนเมื่อ
เผชิญกับคู่แข่งหรือความแปรปรวนทางเศรษฐกิจ มีเพียงหนทางสายกลางทางเอกสายเดียวเท่านั้น ที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความสุขและความปลอดภัยอย่างแท้จริง เป็นหนทางที่ไปได้
ด้วยการทำใจหยุดนิ่ง ส่วนหนทางไปสู่สวรรค์นั้น ก็ต้องเริ่มจากความไม่ประมาทและสั่งสมบุญเป็นประจำ ก่อนที่มัจจุราชจะคร่าชีวิตของเราไปก่อน
ในสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุรูปหนึ่งออกเดินบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ เพื่อไป เป็นเนื้อนาบุญแก่พุทธศาสนิกชนตามปกติ วันหนึ่ง สะใภ้ของหญิงผู้เป็นมิจฉาทิฐิเห็นพระ
บิณฑบาตผ่านหน้าบ้านด้วยอาการที่สงบสำรวม จึงอยากถวายภัตตาหารพระ แต่ก็เกรงว่าแม่ของสามีจะทำร้ายเอา เพราะนางเป็นคนดุร้ายและไม่ศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย อีกทั้ง
ยังห้ามเธอตักบาตรพระอีกด้วย แต่เนื่องจากเธอมีจิตเลื่อมใสอยากทำบุญสักครั้ง เมื่อแม่ของสามีไม่ให้ตักบาตรด้วยข้าวปลาอาหาร เธอก็ทำบุญด้วยการน้อมถวายท่อนอ้อยแด่
พระคุณเจ้า
หลังจากพระคุณเจ้าเดินคล้อยหลังไป แม่ของสามีก็กลับถึงบ้าน บังเอิญว่ารู้สึกอยากดื่มน้ำอ้อย จึงเดินเข้าไปหาท่อนอ้อยในครัว แต่หาไม่เจอ เลยถามลูกสะใภ้ว่าเอาอ้อยไปเก็บไว้
ที่ไหน เธอไม่อยากโกหก แม้รู้ว่าแม่ของสามี จะโกรธ เธอจึงตอบไปตรง ๆ ว่า ไม่ได้เอาไปทิ้งที่ไหน และไม่ได้รับประทาน แต่ถวายพระภิกษุไปแล้ว ถ้าหากแม่สามีอยากรับประทาน
เธอจะไปหามาให้ใหม่
แม่สามีฟังเช่นนั้นก็โกรธจัด บริภาษ ลูกสะใภ้ด้วยถ้อยคำหยาบคาย พร้อมกับคว้าก้อนดินขนาดใหญ่ทุ่มใส่ศีรษะของเธออย่างแรงจนถึงแก่ความตาย แม้ร่างกายเธอจะปวดร้าว
เพราะก้อนดินขนาดใหญ่ แต่ในขณะนั้นเธอก็ยังสามารถนึกถึงบุญที่ทำไว้ได้ และด้วยจิต ที่ผ่องใส ครั้นละโลกแล้ว ก็ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานทองที่สว่างไสว
พระมหาโมคคัลลานเถระได้เหาะขึ้นไปบนสวรรค์และเห็นวิมานทองของนาง จึงเข้าไปไต่ถามบุพกรรมว่า “รัศมีกายของท่านส่องสว่างเหมือนดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ รุ่งโรจน์
ทั่วทั้งเทวโลก ด้วยสิริ วรรณะ ยศ และเดช เหมือนดังท้าวมหาพรหม รุ่งโรจน์ล้ำทวยเทพชั้นไตรทศพร้อมทั้งองค์อินทร์ ดูก่อนเทพธิดา ผู้เลอโฉม ท่านทัดทรงมาลัยดอกอุบล มีดอก
ไม้กรองบนศีรษะ มีผิวพรรณผุดผ่องดุจดังทอง ประดับองค์ทรงภูษาอันสูงสุด ท่านเป็นใคร จึงมาไหว้อาตมา เมื่อก่อนท่านได้ทำกรรมใดไว้ ท่านสั่งสมทานหรือรักษาศีลมาอย่างไร
จึงได้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นผู้มียศมาก มีบริวารมาก ดูก่อนเทพธิดา ท่านถูกอาตมาถามแล้ว ขอท่านช่วยตอบหน่อยเถิด นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร”
เทพธิดาได้ฟังคำชื่นชมจากพระเถระ ก็ตอบคำถามด้วยความปลาบปลื้มปีติใจว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันคืออดีตผู้เคยทำบุญด้วยการถวายท่อนอ้อยแด่พระเถระรูปหนึ่ง” นางเล่าถึง
บุพกรรมของนางด้วยความเบิกบานในบุญ เรื่องราวของนางแสดงให้เห็นได้ว่า การทำบุญเพียงครั้งเดียว แต่ทำด้วยจิตที่ผ่องใส ไม่อาลัยในชีวิต บุญนั้นก็ส่งผลยิ่งใหญ่ไพศาล ทำให้
เธอได้เป็นเทพนารี เสวยสุขอยู่ในสวรรค์
นี้เป็นตัวอย่างของผู้ที่รักตัวและไม่ กลัวตายอย่างแท้จริง เป็นชีวิตของผู้ที่ใจถึง คือ รักบุญยิ่งชีวิต เพราะรู้ว่าความตายไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าความตาย ก็
คือ การมีชีวิตอยู่แต่ไม่ได้สั่งสมบุญเลย ชีวิตหลังความตายก็ต้องไปเสวยผลกรรม ในอบายภูมิ เพราะชีวิตของคนทั่วไปนั้น หากไม่ทำบุญก็ทำบาป ส่วนผู้ที่มีใจเป็นกลาง ๆ เป็น
อัพยากตา คือ ไม่ทำบุญและบาป มีน้อย เหลือเกิน โดยส่วนใหญ่หากไม่ทำบุญ บาปก็ จะได้โอกาสเข้าแทรกให้ทำความชั่ว ดังนั้น เมื่อโอกาสแห่งการทำบุญมาถึงแล้ว ผู้ฉลาด
จึงทำบุญโดยไม่หวั่นไหว แม้กระทั่งความตาย ก็ไม่เป็นอุปสรรค
นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างของผู้ที่ทำบุญด้วยจิตที่เลื่อมใส โดยไม่หวั่นไหวต่อปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้น มาเล่าเป็นคติสอนใจ อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเรื่องราวการทำความดีของ
เทพนารีท่านนี้ มีลักษณะคล้ายกับเรื่องที่แล้วแต่เนื้อนาบุญที่นางถวายท่อนอ้อย คือ พระมหาโมคคัลลานเถระ เมื่อแม่ของสามีทราบเรื่อง ด้วยความโกรธเคืองสุดขีดก็เลยคว้าตั่งที่ตัว
เองกำลังนั่งอยู่ทุ่มใส่ศีรษะนางอย่างแรง จนนางถึงแก่ความตาย บุญนั้นส่งผลให้นางไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และมีวิมานทองที่สว่างไสวเช่นเดียวกัน
เราจะเห็นได้ว่า แต่ละช่วงของชีวิตนั้น มีการชิงช่วงและช่วงชิงอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากกรรมที่เราทำเอาไว้ในอดีตมีทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล วิบากกรรมจะตามมาส่งผลเมื่อไรก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ควรประมาท ต้องทำ ความดีในทุกโอกาส เพราะแม้ว่าจะทำบุญหรือไม่ก็ตาม เมื่อถึงเวลาก็ต้องตายอยู่ดี ใครตายเร็วตายช้าหรือตายเพราะเหตุใดไม่สำคัญ สำคัญ
อยู่ที่ว่า ก่อนตายใครสั่งสมบุญไว้มาก กว่ากัน ใจใครผ่องใสกว่ากัน และตายแล้ว จะไปบังเกิดที่ไหน ดังนั้นเมื่อตัดสินใจจะทำความดีแล้ว อย่าได้รอช้าและอย่าลังเลใจ ให้ทุ่มเท
ทำไปเลย เมื่อใจแช่อิ่มอยู่ในบุญ บุญจะหนุนนำให้เรามีความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และเมื่อบุญเต็มเปี่ยม เราจะได้เข้าถึงพระรัตนตรัยกันทุกคน
อานิสงส์แห่งบุญ
เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ.๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ.๙
ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์