กระเป๋าของเราใบหนึ่ง
เขียนโดย Administratorคอลัมน์ เด็กชายอลงกรณ์ ตึกสองชั้นสาม
เรื่อง กระเป๋าของเราใบหนึ่ง
ผมรู้สึกเสมอครับว่า คนเราเกิดมามีกระเป๋าติดตัวกันมาคนละใบ ขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน แต่ที่เหมือนกันหมดคือ เราทุกคนมีสิทธิ์ในกระเป๋าใบนี้อย่างเต็มที่ ถ้าชอบของเล่น เราก็เอาของเล่นใส่กระเป๋า ชอบขนม ชอบไอติม เราก็เอาของกินมาใส่กระเป๋า ถ้าชอบดูหนัง ชอบฟังเพลง ชอบรถยนต์ ชอบเงิน ชอบเดินทาง ชอบท่องเที่ยว เราชอบอะไรก็แล้วแต่ เราก็สามารถเอามาใส่กระเป๋า และถ้าหากเราไม่ชอบอะไร เราก็จะไม่เอามาใส่
แต่บ่อยครั้งที่เราก็เผลอเก็บเอาก้อนที่เราไม่ชอบใส่มาโดยที่เราไม่รู้ตัว เราจึงต้องแบกกระเป๋าหนักๆที่เต็มไปด้วย ก้อนที่ชื่อว่างาน ก้อนชื่อว่าปัญหา ก้อนชื่ออุปสรรค ก้อนไขมันที่อุดตันความคิดดีๆ แถมยังมีก้อนกังวล และก้อนความเครียดรวมอยู่ด้วย ทั้งของที่ชอบและไม่ชอบ บางทีเรา หยิบใส่เพลินจนลืม ไม่ได้สนใจว่าใส่อะไรลงไปในกระเป๋าบ้าง ทั้งของกินของใช้ หมักหมมทับถมกันอยู่ในนั้น แล้วมันก็เริ่มบูดเน่า
เราจึงต้องตัดใจทิ้งของในกระเป๋าออกไปเสียบ้าง จากนั้นก็ค่อยเอาใส่เข้าไปใหม่ จะเอาเข้าเอาออกกี่รอบเราก็ทำได้ หรือจะเททิ้งทั้งกระเป๋า เราก็ทำได้ผมเห็นบางคนเอาของบูดเน่าไปทิ้งตามกองขยะ บางคนทิ้งบนถนน บางคนทิ้งแบบขว้างปา บางคนไปเททิ้งใส่ในกระเป๋าของคนอื่น และบางทีก็มีที่ทิ้งใส่ลงไปให้กับคนรักในครอบครัวของตัวเองผมไม่ชอบทิ้งใส่กระเป๋าของใคร และไม่อยากให้ใครเอามาทิ้งใส่กระเป๋าผม ผมจะรู้สึกสงสารทุกครั้งเมื่อเห็นใครถูกของบูดเน่าสาดเทใส่ เหมือนกับที่ผมสงสารเจ๊อึ่ง
เจ๊อึ่งแกก็มีกระเป๋าติดตัวเหมือนคนอื่นๆ แต่กระเป๋าของแกน่าจะเรียกว่าเป็นถุงพลาสติกมากกว่า มันคล้ายกับถุงดำใบใหญ่ที่ใส่ขยะ ผมเห็นเจ๊อึ่งตั้งแต่เด็กๆ แกมีอาชีพเก็บขยะ ในทุกๆวันแกจะคุ้ยๆ ตามกองขยะในตลาดสดหรือไม่ก็ที่หลังโรงเรียน พอคุ้ยๆ แล้วแกก็เลือกเก็บที่ต้องการใส่ถุง เด็กส่วนใหญ่จะกลัวแก กลัวเจ๊อึ่งจับใส่ถุง เด็กคนไหนดื้อหรืองอแงร้องไห้ ผู้ใหญ่มักจะขู่ให้เงียบไม่งั้นเดี๋ยวจะให้เจ๊อึ่งเข้ามาจับแม้จะยังไม่เคยมีเด็กคนไหนถูกเจ๊อึ่งจับสักคน แต่เด็กทุกคนก็ยังกลัว ถามว่า
ตอนนั้นเด็กๆกลัวอะไรเจ๊อึ่ง เด็กบางคนกลัวเสื้อผ้าที่สกปรก กลัวผมเผ้าที่ยาวรุงรังของแก กลัวเนื้อตัวดำๆ และมอมแมม แต่ที่ผมกลัวมากที่สุดคือรอยยิ้มของแก โดยเฉพาะรอยยิ้มที่เห็นฟันขาวๆ ยามที่แกเจอหน้าผมแล้วส่งยิ้มมาให้ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงกลัว อาจเป็นเพราะว่าความที่เรายังเด็ก เรายังแยกไม่ออกว่า อะไรคือขาว อะไรคือดำ อะไรคือความสะอาดหรือสกปรกจริงๆ และแยกไม่ออกระหว่างสิ่งที่เราเห็นจากภายนอกกับที่แสดงออกมาจากภายในจิตใจของคนเรามันต่างกันอย่างไรอย่าว่าแต่เด็กๆเลยที่ไม่ชอบและกลัว แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังรังเกียจเจ๊อึ่ง
อะไรที่บูดเน่าในกระเป๋าของตัว กองขยะมีกลับไม่ทิ้ง ดันเอาไปเททิ้งใส่ในกระเป๋าเจ๊อึ่งพอเห็นแกถูกรังแกบ่อยเข้า ผมก็รู้สึกที่จะอดสงสารไม่ได้ ความสงสารมันเกิดขึ้นมาพร้อมกับความสงสัยครับว่า เจ๊อึ่งเจอคนเขาสาดของบูดเน่าใส่เป็นประจำอย่างนี้แล้วทำไมแกยังยิ้มเห็นฟันขาวๆออกมาได้อย่างสม่ำเสมอผมยังคงกลัวและไม่กล้าเข้าไปถามแกโดยตรงหรอกครับ ได้แต่เดาคำตอบเอาเองว่า เจ๊อึ่งแกน่าจะล้างและทำความสะอาดกระเป๋าทุกวันเพราะถ้าคนเราอารมณ์ดีไม่มีกลิ่นบูดเน่า จิตใจของเราก็จะสะอาดสดใส สิ่งดีๆที่งดงามจากภายในก็จะแสดงออกมาสู่ภายนอก
แล้วเมื่อนั้นมันก็จะทำให้เรายิ้มออกเห็นฟันขาวๆได้เป็นประจำทุกๆวันที่ตึกสองชั้นสาม คุณครูถามเด็กชายอลงกรณ์ว่า
คุณครู : “เธอมีวิธีทำอย่างไรให้ร่างกายสะอาด?”
ด.ช.อลงกรณ์ : “ล้างกาย ไปอาบน้ำครับ”
คุณครู : “แล้วเธอมีวิธีทำอย่างใรให้จิตใจสะอาด?”
ด.ช.อลงกรณ์ : “ล้างใจ ไปสวดมนต์ ไปนั่งสมาธิครับ”
คุณครู : “แล้วเธอมีวิธีทำอย่างให้กระเป๋าสะอาด?”
ด.ช.อลงกรณ์ : “ ......... ไปซื้อใบใหม่ครับ....”
“ !!! ”............................................................................
จาก พี่โค้ก อลงกรณ์