พิมพ์
รายละเอียด: | ฮิต: 21366
ดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งาน
 

ประเภทของสมาธิ 

      การบรรลุฌานทั้ง ๔ ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระเจ้าอชาตศัตรูนั้น ล้วนเป็นสามัญญผลอันเกิดจากการเจริญสมาธิภาวนาของพระภิกษุเอง สมาธิในพระพุทธศาสนาอาจแบ่งออกได้เป็น ๒ ระดับ คือ

  ๑. สมาธิเบื้องต่ำ

      “สมาธิเบื้องต่ำ”  คือ สภาวะที่ใจสงบ ปราศจากอารมณ์ทั้ง ๖ หรืออายตนะภายนอก ๖ อันได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ นิวรณ์ ๕ จึงเริ่มสงบระงับ ใจจึงรวมเป็นหนึ่ง เกิดเป็นดวงสว่าง๑  ดังปรากฏในพระธรรมเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ยกขึ้นมากล่าวไว้ตอนต้นบทที่ ๗ นี้ว่า “มีความกำหนดหมายอยู่ที่แสงสว่าง” วิธีทำใจให้เป็นหนึ่งในขั้นตอนนี้ยังจัดเป็น “สมาธิเบื้องต่ำ” เป็นสมาธิที่ยังไม่ได้ดิ่งถึงที่สุด 

 

๒. สมาธิเบื้องสูง

      “สมาธิเบื้องสูง”  คือสภาวะที่ใจสงบเป็นสมาธิดิ่งถึงที่สุดเป็นสมาธิของผู้ปฏิบัติซึ่งบรรลุฌานทั้ง ๔ ตามลำดับดังกล่าวแล้ว

 

 สมาธิในทางปฏิบัติ 

เพื่อให้เข้าใจการทำสมาธิทั้ง ๒ ระดับดังกล่าวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงขอน้อมนำคำอธิบายในเชิงปฏิบัติของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มาขยายความไว้ในที่นี้

       “สมาธิเบื้องต่ำในทางปฏิบัติ”  หมายถึง การสละอารมณ์ไม่ให้ติดกับจิต ตัวอย่างเช่น เวลานอน หากมีอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๖ อย่าง (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์) ติดอยู่กับจิตจนเปลื้องไม่ออก หรือที่เรียกว่า “สละอารมณ์ไม่ได้” เราก็จะนอนไม่หลับทั้งคืน เพราะถูกอารมณ์บังคับไว้ ต้องสละอารมณ์ออกจากใจให้ได้ จึงจะนอนหลับได้

 

      การทำสมาธิก็เช่นเดียวกัน หากจิตติดอยู่กับอารมณ์ ใจย่อมนึกคิดชัดส่ายไปตามอารมณ์นั้น ๆ ต่อเมื่อใดที่สละอารมณ์ได้ จิตหลุดจากอารมณ์โดยเด็ดขาดไม่เกี่ยวข้องกัน เหมือนไข่ขาว กับไข่แดงที่แม้จะอยู่รวมกันในไข่ฟองเดียว แต่จะแยกจากกันไม่ปะปนกัน เพราะมีเยื่อบาง ๆ หุ้มไข่แดงไว้ เมื่อสละอารมณ์ได้เช่นนั้น ใจจึงจะหยุดนิ่งแน่วแน่ และมองเห็นดวงธรรมที่อยู่ภายใน

 

     การที่ใจหยุดนิ่งแน่วแน่ ไม่มีอารมณ์ใดในอารมณ์ทั้ง ๖ เข้าไปเกี่ยวข้องกับดวงจิตเลย ได้ถึงซึ่งเอกัคคตา ดวงจิตถึงซึ่งความเป็นหนึ่ง นี้แหละ คือ “สมาธิในทางปฏิบัติ” แท้ๆ จัดว่าเป็นสมาธิเบื้องต่ำในพระพุทธศาสนา

 

     “สมาธิเบื้องสูงในทางปฏิบัติ”  คือ สมาธิในฌาน เมื่อผู้ปฏิบัติวางใจหยุดนิ่งอยู่กลางดวงจิตที่ใสนั้น พอหยุดได้ถูกส่วนก็จะเข้าถึงสมาธิเบื้องสูง เกิดเป็น “ดวงฌาน” ขึ้นกลางดวงจิตนั้น มีลักษณะกลมรอบตัวเป็นปริมณฑล ใสเป็นกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า มีกายมนุษย์ละเอียด๒ นั่งอยู่กลางดวงฌานที่ผุดขึ้นมานั้นใจของกายมนุษย์ละเอียดก็หยุดนิ่ง  อยู่กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด เมื่อเห็นดวงจิตของตนว่าเป็นสมาธิ

 

     จึงเข้าฌาน เมื่อเข้าฌานแล้วจะไปไหนก็คล่องแคล่ว จึงเกิด “วิตก” (คิด) ขึ้นว่า นี่อะไร รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างนี้ ไม่เคยพบเห็นมาก่อน จึงตรึกดู (ปักจิตลงสู่อารมณ์ฌาน) ครั้นแล้ว “วิจาร” ก็เกิดขึ้นเต็มวิตก คือพิจารณาตรวจตราดูรอบกายมนุษย์ละเอียด ตรวจตราดูทั่วแล้วก็เกิด “ปีติ” ปลื้มอกปลื้มใจเมื่อเบิกบานสำราญใจเต็มส่วนของปีติแล้ว ก็มีความสุขกายสบายใจ เมื่อสุขกายสบายใจแล้วก็นิ่งเฉย เกิดแต่วิเวก ใจวิเวก นิ่งอยู่กลางดวงนั้น เต็มส่วนขององค์ฌาน เป็น “เอกัคคตา” สภาวะที่กายมนุษย์ละเอียด เข้าฌานอยู่กลางดวงฌานนี้ คือสมาธิในทางปฏิบัติ เป็นสมาธิเบื้องสูงในระดับ “ปฐมฌาน”

 

      ครั้นแล้วกายมนุษย์ละเอียดก็คิดว่า “ปฐมฌาน” นี้ยังใกล้ของหยาบนัก จึงคิดทำให้สูงขึ้นไปอีก ใจของกายมนุษย์ละเอียดจึงขยายจากปฐมฌานของกายมนุษย์ละเอียด หยุดนิ่งอยู่กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด หยุดนิ่งใสนิ่งหนักเข้าๆ พอถูกส่วน ก็มีดวงผุดขึ้นมาอีกดวงหนึ่ง ขนาดเท่าดวงแรก ดวงนี้คือ “ทุติยฌาน” ปรากฏมีกายทิพย์เกิดขึ้น ด้วยอาศัยกายทิพย์หยาบนี้ กายทิพย์ละเอียดซึ่งซ้อนอยู่ในกายทิพย์หยาบก็เข้าฌาน แบบเดียวกับกายมนุษย์ละเอียดในปฐมฌาน คราวนี้ละวิตก วิจารได้แล้ว เหลือแต่ “ปีติ” ชอบอกชอบใจว่ามันดีกว่าเก่า ใสสะอาดกว่าเก่ามาก จึงปลื้มอกปลื้มใจ เมื่อปลื้มอกปลื้มใจเช่นนั้น จนเต็มส่วนของความปีติ ก็เกิด “ความสุข” ขึ้น พอเต็มส่วนของความสุขเข้า ใจก็นิ่งเฉยเป็น “เอกัคคตา”

 

      ครั้นแล้วกายทิพย์ละเอียดก็คิดว่า ที่ละเอียดกว่านี้ยังมีอีก ดังนั้นใจของกายทิพย์ละเอียดก็ขยายจากทุติยฌาน แล้วหยุดนิ่งอยู่กลางดวงจิตซึ่งอยู่ในดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียด พอถูกส่วนเข้า ก็มีดวงฌานผุดขึ้นมาอีก มีขนาดเท่า ๒ ดวงที่ผ่านมา แต่ใสกว่า ดีกว่า วิเศษกว่า ดวงนี้คือ “ตติยฌาน” มีกายรูปพรหมนั่งอยู่กลางดวงฌาน ด้วยอาศัยกายรูปพรหมนี้กายรูปพรหมละเอียดก็เข้าฌานนั่งนิ่งอยู่กลางดวงของตติยฌานในนี้ไม่มีปีติ มีแต่ “สุข” และ “เอกัคคตา” นิ่งเฉยอยู่กับสุขนั้นมีองค์ ๒ เต็มส่วน เมื่อรับความสุขของตติยฌานพอสมควรแล้วกายรูปพรหมละเอียดก็คิดว่าละเอียดกว่านี้ยังมีอีก

 

     ครั้นแล้วใจของกายรูปพรหมละเอียดก็ขยายจากตติยฌาน นิ่งอยู่กลางดวงจิตของตน ซึ่งใสอยู่ภายในดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมละเอียด กลางของกลางๆ ๆ ๆ พอถูกส่วนเข้า ผุดขึ้นมาอีกดวงหนึ่ง เป็นดวงที่สี่ เข้าถึง “จตุตถฌาน” มีกายอรูปพรหมนั่งอยู่กลางดวงฌาน ด้วยอาศัยกายอรูปพรหม กายอรูปพรหมละเอียดก็เข้าจตุตถฌานไป เมื่อเข้าจตุตถฌานหนักเข้า ละสุขเสียได้ เป็น “อุเบกขา” มีสติบริสุทธิ์ เป็น “เอกัคคตา”

 

     ฌานทั้ง ๔ ระดับ คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌานนี้ฌานในภพ ไม่ใช่ฌานนอกภพ บางทีเรียกว่า “รูปฌาน ๔” จัดเป็นสมาธิเบื้องสูง โดยทางปฏิบัติดังกล่าวมาแล้วนี้ สิ่งที่ปรากฏชัด ทำให้รู้เห็นตามความเป็นจริงนั้น เป็นตัว “ปฏิเวธ” ทั้งสิ้น

ปฏิเวธในปฐมฌาน ก็คือ กายมนุษย์ละเอียด

ปฏิเวธในทุติยฌาน ก็คือ กายทิพย์และกายทิพย์ละเอียด

ปฏิเวธในตติยฌาน ก็คือ กายรูปพรหมและกายรูปพรหมละเอียด

ปฏิเวธในจตตุถฌาน ก็คือ กายอรูปพรหมและกายอรูปพรหมละเอียด

 

      เมื่อเข้าสู่รูปฌานแน่นอนแล้ว ใจของกายรูปพรหมละเอียดก็หยุดนิ่งอยู่ตรงศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมละเอียด ซึ่งนั่งอยู่กลางดวงจตุตถฌานเพื่อที่จะเข้าอรูปฌานต่อไป คือ เข้าอากาสานัญจายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน โดยใช้กายอรูปพรหมละเอียดกายเดียวเข้าฌานตลอดทั้งรูปฌานและอรูปฌาน  นี้คือสมาธิเบื้องสูง ซึ่งเกิดจากการเจริญสมถภาวนา หรือ สมถกัมมัฏฐาน จัดเป็นสามัญญผลเบื้องกลาง

 

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

๑. ดวงสว่างในขั้นตอนนี้ คือ อุคคหนิมิต หรือ ปฏิภาคนิมิต

๒. ทุกคนในโลกนี้มีเพียงกายภายนอกที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อนี้เท่านั้น แต่ยังมีกายภายในที่ละเอียด ประณีต และบริบูรณ์ด้วยคุณธรรม ซ้อนอยู่ภายในอีกมาก เรียกว่า “กายภายใน” หรือ “กายในกาย” ตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม จนถึงธรรมกาย เราไม่อาจมองเห็นกายเหล่านี้ได้ด้วยตาของมนุษย์ธรรมดา แต่จะรู้เห็นได้ด้วยใจที่หยุดนิ่งเป็นสมาธิ จนมีความละเอียด ประณีตเสมอกันกับกายเหล่านั้น เท่านั้น

กายมนุษย์ละเอียด มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “กายฝัน” เพราะขณะที่คนเรานอนหลับแล้วฝันว่าไปยังที่ต่างๆ นั้น กายมนุษย์ละเอียดนี้เองเป็นผู้ไป