กับดักสุขภาพ10 ประการ ที่คนไทยไหลหลง
โดย นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล
พูดถึงสุขภาพ ใครๆก็รักสุขภาพกันทั้งนั้น แต่ครั้นถึงเรื่องราวของการเอาใจใส่สุขภาพนี่ซิ บางทีก็หลงไปกับ
บางกรรมวิธี ซึ่งแทนที่จะให้คุณ กลับให้โทษ หรือทำให้เสื่อมสุขภาพลงกว่าเดิม
สารบัญ กับดักสุขภาพประการที่ 1 | ดื่มน้ำยิ่งมาก ยิ่งดี |
กับดักสุขภาพประการที่ 2 | นอนดึก ตื่นสาย |
กับดักสุขภาพประการที่ 3 | กลัวโคเลสเตอรอล จนไม่กล้ากินไข่ แต่ไพล่ไปดื่มนม |
กับดักสุขภาพประการที่ 4 | ไม่กินไขมันเลย เพราะกลัวอ้วน |
กับดักสุขภาพประการที่ 5 | กินผลไม้จนล้นเกิน น้ำตาลขึ้น ไขมันสูง |
กับดักสุขภาพประการที่ 6 | ถือเอาวิตามิน อาหารเสริม เป็นคำตอบสุขภาพ |
กับดักสุขภาพประการที่ 7 | กินสมุนไพร คิดว่าปลอดภัยเสมอไป |
กับดักสุขภาพประการที่ 8 | ไปฟิตเนส แต่เสียเงิน เสียสุขภาพ |
กับดักสุขภาพประการที่ 9 | สวนกาแฟ แก้ได้ทุกโรค |
กับดักสุขภาพประการที่ 10 | กินอาหาร 5 หมู่ อาจป่วยง่าย ตายเร็ว |
กับดักสุขภาพประการที่ 1 - ดื่มน้ำยิ่งมาก ยิ่งดี
คนจำนวนไม่น้อยเชื่อกันว่า ให้ดื่มน้ำมากๆ ยิ่งมากยิ่งดี หลายคนถึงกับดื่มน้ำวันละ 3-4 ลิตร บางคนก็ร่ำลือ
กันว่า หมอจีนสอนให้ตื่นนอนเช้าดื่มน้ำทันที 4 แก้ว เพราะช่วยให้ขับถ่ายดี ก็เลยคิดต่อไปว่า ถ้าดื่มน้ำ 4 แก้วตอน
เช้ามีประโยชน์ขนาดนั้น ตลอดทั้งวันก็ควรดื่มให้มากที่สุด จนเรียกได้ว่า แค่นดื่ม กันเลยละ พวกเขาดื่มน้ำอย่างไม่
จำกัดจำนวน เพราะเชื่อว่าจะได้สุขภาพดี คนที่ดื่มน้ำมากเช่นนี้ นานเข้าจะเกิดอาการขึ้นอย่างหนึ่ง คือ เกิดอาการ
ปัสสาวะมาก ปัสสาวะใส มือเท้าเย็น หนาวง่าย นานเข้าจะเกิดภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง ขาอ่อนแรง และหย่อน
สมรรถภาพทางเพศ เหตุผลก็คือ ไตมิใช่เพียงท่อกลวงๆที่ปล่อยให้น้ำผ่านไปเฉยๆ แต่ไตมีหน้าที่เก็บรับเอาสิ่งที่ยัง
เป็นประโยชน์กับ ร่างกาย ที่ปัสสาวะชะผ่านไป ให้เก็บกลับเข้าสู่ร่างกาย ได้แก่เกลือแร่ชนิดต่างๆ ไตยังทำหน้าที่
ปรับความเข้มข้นของปัสสาวะให้พอเหมาะ ด้วยเหตุนี้การปล่อยน้ำผ่านไตมากๆ ไตจึงต้องทำงานหนัก เสียพลังใน
การทำงานเยอะ นานเข้าก็เกิดอาการอย่างที่หมอจีนเรียกว่า พร่องพลังไต เปรียบเทียบง่ายๆว่า เหมือนภูเขาลูกหนึ่ง
ที่ปล่อยให้ฝนตกกระหน่ำเอาๆ ฝนย่อมชะเอาฮิวมัสหรือปุ๋ยธรรมชาติ ที่อยู่บนผิวดินออกไปกับน้ำเสียหมด นานๆ
เข้า เขาลูกนั้นก็กลายเป็นเขาหัวโล้น แท้ที่จริงวิชาสุขศึกษาบอกว่าดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว แต่ตามปกติเรามีน้ำ
ในมื้ออาหารอยู่แล้ว ถ้าจะหักลบน้ำที่ดื่มในมื้ออาหารออก คนเราก็ควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 4 แก้ว สำหรับคนที่
พร่องพลังไตอยู่แล้ว ก็ควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 3 แก้ว จึงจะแก้สถานการณ์ได้ ส่วนการที่หมอจีนบอกว่าให้ดื่มน้ำ 4
แก้วตอนเช้านั้น แท้ที่จริงเพื่อช่วยให้ขับถ่าย เพราะเถ้าแก่ทั้งหลาย กินแต่ข้าวขาว กินหมูกินไก่ ผักไม่ค่อยกิน
เพราะถือว่าผักเป็นอาหารของคนจน หมอจีนจึงใช้วิธีนี้สอนคนท้องผูก แต่ถ้าเรากินข้าวกล้อง ผักผลไม้มากพอ ก็
ไม่จำเป็นต้องแค่นดื่มน้ำเช่นนั้น
กับดักสุขภาพประการที่ 2 - นอนดึก ตื่นสาย
คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า การนอนแม้จะจำเป็น แต่ดึกๆมักมีเรื่องน่าดูในจอโทรทัศน์ หรือไม่ก็บนจอ
คอมพิวเตอร์ เลยตากสายตาดูโทรทัศน์ดึกๆ วัยรุ่นเล่นคอมฯ แช็ตกันเพลินจน 5 ทุ่ม สองยาม แล้วเข้านอน กะว่าตื่น
เอาสายๆก็ทดแทนจำนวนชั่วโมงการนอนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวัยรุ่นที่ต้องรีบไปเรียนหนังสือแต่เช้า หรือวัยทำงาน
ที่ต้องแข่งขันเบียดแทรกตัวเองไปทำงานแต่เช้ามืด ด้วยเหตุนี้ คนนอนดึก ตื่นเช้ามืด จำนวนชั่วโมงการนอนก็ไม่
พออยู่แล้ว สุขภาพย่อมเสียสุดๆ ส่วนคนนอนดึกตื่นสาย ก็ใช่ว่าสุขภาพจะดี นานเข้าสุขภาพก็เสื่อมสุดๆอีกเหมือน
กัน เหตุผลเพราะ แท้ที่จริงสัตว์ต่างๆล้วนมีโครงสร้างของสรีระร่างกายที่กำหนดว่า สัตว์นั้นเป็นสัตว์กลางวัน หรือ
สัตว์กลางคืน อย่างค้างคาว นกฮูก แมวเหมียว ต้องถือเป็นสัตว์กลางคืน เพราะมีเรดาร์ มีตาโต เอาไว้ใช้งาน
ตอนกลางคืน แต่คนเราต้องสังกัดเป็นสัตว์กลางวัน เดิมทีเดียวสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดแรกของโลกคือตัวซาลา
แมนเดอร์มีตาอยู่ 3 ดวง ตาดวงที่สามเป็นเกล็ดอยู่ตรงกลางหน้าผาก คอยทำหน้าที่รับแสงตะวัน เวลากลางวันแสง
สว่างจะทำให้เกล็ดนี้สร้างฮอร์โมนซีโรโตนิน ทำให้มันแจ่มใสออกมาหากิน เวลากลางคืนเกล็ดนี้จะสร้างฮอร์โมน
เมลาโตนิน ทำให้มันง่วงเหงา เข้ารูนอน ครั้นวิวัฒนาการจนมาเป็นคน เกล็ดนี้จมลึกเข้าไปในหน้าผาก กลายเป็น
ต่อมเหนือสมอง หรือ ต่อมไพเนียล ยังคงสร้างฮอร์โมน 2 ชนิดนี้สลับกันอยู่ หรือเรียกอีกที ต่อมนี้คือนาฬิกา
ชีวภาพที่ปลุกเราให้ตื่นเช้า และกล่อมเราให้เข้านอนโดยอัตโนมัติ การตากแสงไฟดึกๆจึงเป็นการรบกวนต่อมไพ
เนียลซึ่งเป็นนายเหนือต่อมฮอร์โมนทั่วร่างกาย มันส่งคำสั่งไปยังต่อมใต้สมอง ไปไทรอยด์ ต่อมหมวกไต รังไข่
และอัณฑะ ถ้าต่อมไพเนียลทำงานผิดเพี้ยน ฮอร์โมนทั่วร่างกาย ก็ผิดเพี้ยนไปด้วย งานวิจัยชิ้นหนึ่งของหมอลลิตา
สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ซึ่งอาจารย์ร็อกกี้เฟลเลอร์จูงใจให้ทำ ทดลองให้ส่องไฟให้หนูทดลองตลอดคืน ทำอยู่เช่น
นั้นหลายๆวัน ปรากฏว่าหนูทดลองถึงกับแท้งลูก นี่แสดงถึงความสำคัญของต่อมไพเนียลซึ่งถึงกับสร้างความแปร
ปรวนของระบบฮอร์โมนในร่างกาย เพียงเพราะว่าแสงไฟที่สาดส่องให้อย่างไม่เป็นเวลา งานวิจัยอีกชิ้นใน
สหรัฐฯทดลองในพยาบาลเวรดึก กลุ่มหนึ่งให้ออกเวรแล้วเดินผ่านอุโมงค์มืดๆไปเข้านอน อีกกลุ่มให้เดินผ่านแสง
ตะวันยามเช้า ไปเข้านอน เมื่อเจาะเลือดเปรียบเทียบระดับฮอร์โมนของร่างกาย พบว่าพยาบาลกลุ่มหลังฮอร์โมน
แปรปรวนไปหมด ขณะที่กลุ่มแรกฮอร์โมนยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ นี่ก็อิทธิพลของแสงตะวันที่เจ้าตัวรับเข้าไปผิดเวลา
แท้ที่จริงแล้ว คนเราจึงควรนอนหัวค่ำ ตื่นเช้า แทนที่จะตากแสงไฟอยู่จนดึกๆ
กับดักสุขภาพประการที่ 3 - กลัวโคเลสเตอรอล จนไม่กล้ากินไข่ แต่ไพล่ไปดื่มนม
นิตยสาร Time ในอเมริกาตีพิมพ์ตั้งแต่เดือนกันยายน 1999 บอกว่า "Cholesterol-Good
News" ยืนยันว่า โคเลสเตอรอลในเลือดของคนเรา สร้างจากภายในตัวเราเองถึง 90% มีเพียง 10% ที่เป็นผล
กระทบจากโคเลสเตอรอลในอาหาร และวัตถุดิบที่สร้างโคเลสเตอรอลคือกรดไขมันอิ่มตัว ดังนั้นไข่ซึ่งเป็นแหล่ง
ของโคเลสเตอรอลจึงได้รับการถอดออกจาก Black list ทางโภชนาการที่อเมริกา แต่ตรงกันข้าม แหล่ง
ของกรดไขมันอิ่มตัวหลายอย่างได้รับการบรรจุให้กลายเป็นตัวที่ถูกเพ่งเล็งทางสุขภาพ ตัวสำคัญได้แก่ นม เนย ชีส
รวมทั้ง Peanut butter ผลยืนยันได้ในเชิงปฏิบัติที่เป็นจริง ดังจะเห็นว่า ประเทศไทยซึ่งถูกประโคมให้กลัว
ไข่กันมามากกว่า 10 ปี จนปัจจุบันคนไทยกินไข่เพียง 130 ฟอง/คน/ปี แต่คนไทยดื่มนมกันไม่อั้น เพราะถูกประโคม
ข่าวว่ายิ่งดื่มนมยิ่งสุขภาพดี ผลปรากฏว่าคนไทยมีโรคไขมันเลือดสูงมากขึ้นๆทุกปี รวมทั้งโรคอ้วนทั้งในเด็กและ
ผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ไทยมีโรคไขมันเลือดสูง 50% ของประชากรในเมือง แม้แต่เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 ปี พูดง่ายๆว่าอยู่ใน
วัยอนุบาลก็มีไขมันเลือดสูง 25% ของประชากร เด็กเหล่านี้ยังไม่ได้กินอย่างอื่นแน่ แต่ถูกป้อนให้ดื่มนมไม่อั้น มาดู
อย่างประเทศจีนบ้าง จีนกินไข่มากกว่าเรา คือ 330 ฟอง/คน/ปี กินไข่มากกว่าเรา 3 แต่คนจีนมีโรคไขมันเลือดสูงต่ำ
กว่าคนไทย การดื่มนมจึงเป็นกับดักสุขภาพที่ต้องละเลี่ยง ที่สนุกไปกว่านั้นก็คือ ปัจจุบันทั่วโลกในประเทศที่มีการ
ศึกษาสูง กำลังหันมาส่งเสริมการบริโภคไข่ ลดละการดื่มนม ที่เบลเยี่ยมมีประดิษฐกรรมใหม่ เขาสร้างไข่ชนิดใหม่
เรียกว่า ไข่โคลัมบัส ไม่ใช่ไข่ของคนที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสหรอกนะครับ แต่เป็นไข่ที่นอกจากกินแล้วคลอเลสเต
อรอลไม่สูง (ซึ่งไข่ทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น) แต่ไข่โคลัมบัสใช้กระบวนการเลี้ยงไก่ด้วยอาหารพื้นบ้าน ซึ่งเขาถือว่า
อาหารพื้นบ้านจะมีสัดส่วนของโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่ถูกต้องโดยธรรมชาติ เมื่อมาเลี้ยงไก่ด้วยวิธีนี้ จะทำให้
ไขมันจำเป็นในร่างกายถูกต้องไปด้วย เป็นผลให้กินไข่โคลัมบัสควบคุมโคเลสเตอรอลในเลือดได้อีกต่างหาก จึงไม่
มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องอดกินไข่ ยกเว้นแต่ว่าคุณมีโคเลสเตอรอลสูงอยู่แล้ว มีนิสัยชอบกินนม กินเนย ก็ขอ
แนะนำให้งดเนย งดนม กินไข่อย่างเดียวโคเลสเตอรอลจะไม่สูงอย่างแน่นอน
กับดับสุขภาพ ประการที่ 4 - ไม่กินไขมันเลย เพราะกลัวอ้วน
เราถูกรณรงค์ให้หลีกเลี่ยงการกินไขมัน เพราะกลัวอ้วน กลัวไขมันเลือดสูง จนคนจำนวนหนึ่งกลัวไขมัน
เกินกว่าเหตุ ตนเองยังสุขภาพแข็งแรงไม่ได้ป่วยเจ็บเป็นโรคอะไร แต่ไม่กินไขมันเลย เป็นเวลาหลายๆปี จนกลาย
เป็นภาวะพร่องไขมัน แท้ที่จริงเราต้องรู้ว่า ไขมันเป็นสารอาหารกลุ่มหนึ่งที่ร่างกายต้องใช้ ในร่างกายของเรามี
ไขมันอยู่ 3 ชนิด ใหญ่ๆ หนึ่งคือโคเลสเตอรอล สองคือไตรกลีเซอไรด์ และสามคือฟอสโฟไลปิด เราใช้โคเลสเต
อรอลเป็นแหล่งวัตถุดิบในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ และสร้างฮอร์โมนเพศกับฮอร์โมนคอร์ติโซล ส่วนไตรกลีเซอไรด์
เป็นแอ่งพลังงานในกระแสเลือด เพื่อหนุนช่วยน้ำตาลในเลือด ส่วนฟอสโฟไลปิดเป็นวัตถุดิบสำหรับสร้างเซลล์
ประสาท ฯลฯ จึงเห็นการหลีกเลี่ยงอาหารไขมัน จนถึงกับไม่กินเลย ทั้งๆที่สุขภาพเป็นปกติอยู่นั้น นานๆเข้าก็จะ
เกิดโรค จะยกตัวอย่างกรณีสุดขั้วกรณีหนึ่ง ผมเคยพบนิสิตมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง เดินเข้ามาหาผมด้วยน้ำหนัก
ตัว 35 กก. จินตนาการเหมือนกับไม้แขวนเสื้อลอยมา อย่างนั้นแหละ แต่เธอเข้ามาหาผม พร้อมกับบอกว่า "หนูต้อง
การลดน้ำหนักค่ะ" เธอมีความคิดว่าน้ำหนักตัวขนาดนั้นของเธอยังไม่เป็นที่พอใจ บอกว่าอยากให้หุ่นผอมเพรียว
เหมือนสาวที่เดินบนแค็ตวอล์ก ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่กินน้ำมันทุกชนิด ผมมองปราดเดียวที่ใบหน้าและผิวพรรณของ
เธอก็บอกได้เลยว่า เธอกำลังป่วยด้วยภาวะพร่องไขมัน คือผิวแห้งและหน้าตาหม่นหมองมาก ถามประวัติอีกหน่อย
ก็พบว่า ผมเธอร่วงเป็นประจำ และที่สำคัญก็คือ เธอขาดประจำเดือนมาได้กว่าปีแล้ว นั่นเป็นเพราะว่า ภาวะที่พร่อง
ไขมัน ร่างกายก็ขาดวัตถุดิบไปสร้างฮอร์โมนเพศ ทั้งสำหรับสุขภาพของผิวพรรณ และเส้นผมอีกด้วย น่าเสียดายว่า
ความเข้าใจผิดๆประการนี้ ทำให้แม้กระทั่งนิสิตปีสี่ของมหาวิทยาลัยอย่างเธอต้องหลงผิดไปตามแสงสีของแฟชั่น
คิดดูก็น่าใจหาย ผมนึกถึงกฎแห่งการอยู่รอดของดาร์วิน ที่บอกถึงการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติ สัตว์ใดแข็งแรงกว่า
ย่อมอยู่ได้ สัตว์ใดที่อ่อนแอกว่าก็สูญพันธุ์ไปในที่สุด สังคมมนุษย์ก็คงเช่นเดียวกัน คนใดฉลาดกว่ารู้จักแสวงหา
ความรู้ที่ถูกต้อง และดำเนินชีวิตที่ชอบที่ควรก็อยู่รอด แต่คนใดไม่ฉลาดหาความรู้ หรือหลงไปในทางอวิชชา สุด
ท้ายก็ทำลายสุขภาพตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอ ยังอาจหมดโอกาสสืบพันธุ์อีกด้วย อย่างกรณีขาดประจำเดือนของสาว
หลงรายนี้ ธรรมชาติก็คงบอกว่า "สาวน้อย เธอจงอย่ามีประจำเดือน และอย่าสืบสกุลมีลูกมีหลานเถอะนะ" นี่คือ
การคัดพันธุ์โดยธรรมชาติตามกฎของดาร์วินอีกเหมือนกัน มีกรณีตัวอย่างขนาดเบาๆอีกตัวอย่างหนึ่ง คือพี่สาวของ
ผมเอง ซึ่งไปได้ตำแหน่งงานดีๆ ที่วิทยุแห่งชาติ นครปักกิ่ง ประเทศจีนโน่น เธอเป็นผู้รักสุขภาพเช่นเดียวกัน และ
มักจะดูแลตัวเองและสามีเรื่องระดับโคเลสเตอรอลในเลือดด้วยเหมือนกัน เธอกินข้าวกล้อง กินผัก กินปลาและกิน
ผลไม้สม่ำเสมอ เมื่ออยู่เมืองไทย เธอเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ชอบกินไขมัน เมื่อไปอยู่ปักกิ่ง เธอก็ยังคงควบคุมอาหาร
เหมือนเมื่ออยู่เมืองไทย เธอสู้อุตส่าห์หาข้าวกล้องที่เมืองจีนมาหุงกินเป็นประจำ นับเป็นการแสวงหาที่ยากลำบาก
มาก เพราะคนจีนยังไม่ตื่นตัวเรื่องกินข้าวกล้อง แต่สามีเธอก็สู้อุตส่าห์หามาให้ครอบครัวได้กินกันจนได้ สิ่งที่เธอ
กังวลก็คือ อาหารปักกิ่งล้วนแต่เป็นอาหารมันๆทั้งนั้น ซึ่งขัดกับนิสัยการคุมไขมันของเธอ เธอจึงพยายามกิน
อาหารปักกิ่งให้น้อยที่สุด ตื่นเช้าต้มข้าวต้มกินกับกับข้าวง่ายๆ ตอนเที่ยงจำต้องกินอาหารจีน แต่พอตกเย็น
บ่อยครั้งที่เธอจะไม่กินข้าว จะกินแต่ผลไม้แทนผลปรากฏว่า เมื่อตกเข้าหน้าหนาว เธอมีอาการหนาวจนแทบจะ
ทนไม่ไหว และก็ไม่ค่อยรู้สึกสดชื่นเหมือนเดิม พอดีผมไปเยี่ยมเธอที่ปักกิ่ง และกินอาหารอยู่ในบ้านด้วยกัน ก็เป็น
อันถึงบางอ้อ เพราะแท้ที่จริงเธอคุมน้ำมันจนสุดขั้วเกินไปนั่นเอง ธรรมชาติบำบัดจะบอกว่า "กินอยู่ตามวัฒนธรรม
พื้นบ้าน" ผู้คนในเมืองไหนๆ จะมีประเพณีการกินอยู่ตามวัฒนธรรมของตัวเอง การที่ผู้รักสุขภาพอย่างเธอ ไปอยู่
เมืองจีนซึ่งมีอากาศหนาวกว่าบ้านเรามากนัก แล้วฝืนตัวเอง ไม่กินอาหารมันๆ ก็ย่อมพร่องแคลอรี จนเสี่ยงที่จะเกิด
เจ็บป่วยได้นั่นเอง สำหรับคนไทยอยู่เมืองไทยอย่างเรา หลักปฏิบัติง่ายๆในเรื่องไขมันก็คือ กินอาหารแต่ละมื้อให้มี
อาหารจานที่มีไขมันสัก 1 อย่าง เช่น มีผัดผัก มีไข่เจียว มีไก่ทอด จานใดจานหนึ่งในแต่ละมื้อ นั่นคือทางสายกลางที่
เลือกเดินได้ กับดักสุขภาพ ประการที่ 5 - กินผลไม้จนล้นเกิน น้ำตาลขึ้น ไขมันสูง ผลไม้น่ะ ดี เพราะ
เป็นแหล่งของวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี เบต้าแคโรทีน และถ้ากินสม่ำเสมอในปริมาณที่พอเหมาะ ก็
ช่วยจรรโลงสุขภาพได้ อย่างไรก็ตาม สรรพสิ่งในโลกย่อมมี 2 ด้านอยู่เสมอ ผลไม้ทุกชนิดมีรสหวาน จึงเป็นแหล่ง
ที่มาของน้ำตาลในเลือดชัดๆอยู่แล้ว และคนที่เป็นเบาหวานที่รักษาด้วยยา หมออาจจะอนุโลมให้กินผลไม้ โดยแบ่ง
กินทีละไม่เกินผลไม้ 2-3 กลีบเป็นต้น แต่สำหรับสูตรรักษาเบาหวาน-กินเนื้อกินผักแบบบัลวี เราก็ไม่ให้กินผลไม้
เลย ซึ่งจะคุมเบาหวานลดลงได้เร็วมาก ภายใน 10 วัน ทีนี้สำหรับคนทั่วไป ผลไม้ย่อมกินได้อย่างเป็นทางสายกลาง
แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่กินผลไม้อย่างสุดขั้ว แล้วเกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ ประการหนึ่ง คนที่กินผลไม้หวานจัด
เช่นทุเรียน ขนุน ลำไย เหล่านี้มักจะเกิดอาการร้อนในได้ เรื่องนี้ต้องอธิบายด้วยทฤษฎีแมกโครไบโอติกส์ ซึ่งบอก
ว่า ผลไม้เป็นสุดขั้วของพลังหยิน กล่าวคือในประเทศเขตร้อน พลังหยางมีมาก ต้นไม้จึงเอาพลังหยินของมันมุดลง
ดิน แล้วไปผลิออกเป็นผลไม้ หล่อเลี้ยงธรรมชาติด้วยสุดยอดพลังหยินของมัน คน สัตว์กินผลไม้หน้าร้อนก็ชื่นใจ
แต่ถ้ากินมากเกินไป พลังหยินที่รับเข้าไปมาก จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังหยางสุดขั้ว จึงเกิดอาการเจ็บคอร้อนในได้ แมก
โครไบโอติกส์ชนิดสุดโต่งจึงไม่แนะนำให้กินผลไม้เมืองร้อนเลย แต่ผมมักจะแนะนำว่า เราอยู่เมืองร้อน ย่อมกิน
ได้อย่างทางสายกลาง ประการที่สอง บางคนกินผลไม้เพราะต้องการคุมอาหารมื้อเย็น คือไม่กินข้าวมื้อเย็น แต่กิน
ผลไม้โดยหวังที่จะลดน้ำหนัก หรือลดไขมันเลือด ผลก็คือ น้ำหนักตัวยิ่งขึ้น ไขมันเลือดยิ่งไม่ลด เหตุผลก็คือ ผลไม้
มีความหวาน เมื่อกินแทนข้าว เจ้าตัวก็หลงกินไม่บันยะบันยัง จึงเพิ่มน้ำตาลในเลือด และถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซ
อไรด์ ซึ่งเป็นไขมันในเลือด คนกินหวานทุกชนิดก็เสี่ยงต่อไตรกลีเซอไรด์สูง และไตรกลีเซอไรด์มีมาก ก็ถูกเก็บไว้
ที่แก้มก้น และพุงกระทิได้ จึงไม่แคล้วอ้วนอยู่ดี
กับดักสุขภาพประการที่ 6 - ถือเอาวิตามิน อาหารเสริม เป็นคำตอบสุขภาพ
ผมจำได้ว่าเมื่อบริษัทวิตามินจากออสเตรเลียจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ผมได้รับการ
ติดต่อจากเพื่อนซึ่งเป็นเภสัชกร ที่เป็นตัวแทนของบริษัทวิตามินนี้ให้ช่วยเผยแพร่ความคิดเรื่องวิตามินให้แก่ผู้
บริโภค ขณะนั้นเมืองไทยยังไม่ค่อยมีคนรู้จักประโยชน์ของการกินวิตามิน ยังไม่รู้จักคำว่า free radicals และ
ไม่รู้จักคำว่า anti-oxidant แม้ว่าความรู้ทางธรรมชาติบำบัดในยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียจะมีเรื่อง
ราวเหล่านี้มากมายแล้วก็ตาม เพราะขณะนั้นช่วงห่างระหว่างความรู้ในประเทศตะวันตกกับประเทศไทย จะล่าช้า
กว่ากันประมาณ 10 กว่าปี ความรู้การแพทย์แบบแผนรู้จักวิตามินในฐานะสารตัวเล็กๆ ที่ช่วยป้องกันตาบอดกลาง
คืน รักษาเหน็บชา ป้องกันลักปิดลักเปิด ซึ่งนับวันโรคเหล่านี้จะหมดไป เมื่อผู้คนในสังคมอยู่ดีกินดีกันมากขึ้น แต่
ไม่รู้จักบทบาทใหม่ของวิตามินในอีกด้านหนึ่ง จำได้ว่าขณะนั้นผมเขียนบทความธรรมชาติบำบัดในมติชนสุด
สัปดาห์ตั้งแต่ต้นปี 2534 จึงได้แนะนำเรื่องของสาร อนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นคำบัญญัติใหม่โดย ศ.ดร.ไมตรี สุทธจิตต์
ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และวิตามินก็มีบทบาทเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ มีความรู้
เหล่านี้พิมพ์เผยแพร่เป็นพ็อกเก็ตบุ้กโดยสำนักพิมพ์รวมทรรศน์ และจัดเสวนาสุขภาพเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2535
นับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดบรรยายเรื่องราวทางสุขภาพให้ผู้คนมาร่วมกันฟังเป็นจำนวนมากๆ และเป็นที่มา
ของมหกรรมสุขภาพในขอบเขตต่างๆทั่วประเทศที่มีกันอยู่ในยุคปัจจุบันนี้ และรวมทรรศน์ก็ได้จักมหกรรม
ธรรมชาติบำบัดสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นับได้ 13 ปี การบรรยายความรู้เรื่องวิตามินในฐานะแอนติออกซิแดนต์
ทำให้คนไทยเริ่มตื่นตัวเรื่องโรคเสื่อมของร่างกายและหันมาสนใจกินอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะแนวคิดของผมก็คือ
วิตามินมีอยู่แล้วในพืชผัก ผลไม้ การจะป้องกันรักษาโรคหัวใจหลอดเลือด กระทั่งโรคมะเร็ง ก่อนอื่นให้ปรับ
เปลี่ยนพฤติกรรมหันมากินอยู่อย่างไทยเสียก่อน ส่วนวิตามินที่กินเป็นเม็ดๆนั้น ใช้เมื่อจำเป็น แต่ก็ทำให้วตามิน
และอาหารเสริมในเมืองไทยเริ่มขายดี กระนั้นก็ตาม ก็มีแพทย์จำนวนหนึ่งในสมัยนั้นที่ไม่เข้าใจ ได้กระทบ
กระเทียบว่า "การกินวิตามิน รังแต่ทำให้น้ำปัสสาวะของคนเราแพงขึ้นเท่านั้นเอง" พูดง่ายๆว่า เปล่าประโยชน์ที่
จะกินวิตามิน เนื่องจากพวกเขาในขณะนั้นยังไม่รู้เรื่องของ free radicals กันเลย ครั้งเมื่อเห็นว่าวิตามินซี
ธรรมชาติกำลังขายดิบขายดี ก็มีแพทย์อีกจำนวนหนึ่งบอกว่า "ระวังกินวิตามินซีมากๆจะเป็นนิ่วในไต" ซึ่งนับเป็น
เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าจะพิจารณากลไกการดูดซึมวิตามินซีเข้าสู่ร่างกาย ตามปกติในลำไส้ของเราจะมี
receptor ซึ่งเป็นประตูเปิดรับวิตามินซี ประตูเหล่านี้จะเปิดปิดมากน้อยตามความต้องการของร่างกายในแต่ละ
ขณะ คนปกติต้องการวิตามินซีต้านอนุมูลอิสระวันละประมาณ 1,000 มก. ถ้ากำลังเครียดอาจเพิ่มความต้องการเป็น
2,000 มก. ถ้ากำลังเป็นหวัดความต้องการจะเพิ่มเป็น 4,000-6,000 มก. และถ้าเป็นมะเร็งอาจมีความต้องการเพิ่มเป็น
10 พัน-50 พัน มก. ถ้าร่างกายยังไม่ต้องการวิตามินในระดับนั้น การกินวิตามินซีมากเกินความต้องการ ก็จะไม่ดูด
ซึมและถ่ายทิ้งไป ทำให้เกิดอาการท้องเสีย เหมือนอย่างที่ใครสักคนหนึ่งกินมะขามมากๆแล้วท้องเสียนั่นแหละ
การเกิดนิ่วในไตจากวิตามินซีจึงเกือบจะเป็นไปไม่ได้ การกินวิตามินแพร่ไปเหมือนไฟลามทุ่ง ภายในระยะเวลา 3
ปีต่อจากนั้น และยิ่งแพร่อย่างรวดเร็วเมื่อมีกิจการขายตรงแบบ MLM ชาวบ้านกลุ่มแรกๆที่กินวิตามินกันอย่าง
ไม่อั้น ก็คือ ชาวบ้านระดับไฮโซไฮซ้อ นั่นเอง มิไยว่าผมจะพร่ำบอกให้ ปรับชีวิตเปลี่ยนอาหาร กินอยู่อย่างไทยซะ
ก่อน ก่อนที่จะกินวิตามิน เพราะต้องอยู่ประการหนึ่งว่า สารธรรมชาติเหล่านี้มีมากมายมหาศาล สกัดกลั่นอย่างไรก็
เอาออกมาเป็นเม็ดๆไม่ได้หมด เพียงแค่ฟลาโวนอยด์ก็มีในธรรมชาติแล้ว 4,000 ชนิด แคโรทีนมีอยู่ 600 ชนิด และ
สารผักมีอีกมากกว่า 10,000 ชนิด แต่ภูมิปัญญามนุษย์นั้นสามารถสกัดออกมาได้เพียง 100 กว่าชนิดเท่านั้นเอง ดัง
นั้นถ้าจะคอยกินวิตามินโดยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร ก็นับเป็นเรื่องน่าเสียดาย กระนั้นก็ตามกิเลสของคน
เรา ก็ทำให้ผู้คนมิได้สนใจในคำเตือนนี้เท่าไรนัก จะมุ่งเอาแต่วิธีง่ายๆ คือคอยซื้อหาวิตามินมากิน กินแก้อ้วน กิน
ให้หุ่นดี กินให้ผิวสวย กินให้ไม่ท้องผูก มีปรากฏอยู่บ่อยครั้งที่ผมถูกเชิญไปบรรยายให้สโมสรชาวไฮโซทั้งหลาย
ฟัง พิธีกรรมของบุคคลเหล่านี้ก็แปลก คือเวลาเชิญเราไปบรรยาย เขาจะเร่งให้เรารีบๆกินอาหารให้จบๆไปก่อน
แล้วเมื่อสมาชิกของเขามากันพอสมควรแล้ว ทีนี้เขาจะเสิร์ฟอาหารให้สมาชิก แล้วเชิญเราขึ้นพูด นับว่าไฮคลาสพอ
สมควร คืออย่างน้อยๆเราก็ไม่ใช่ตลกคาเฟ่ ซึ่งมีจุดขายอยู่ที่ให้ผู้คนกินข้าวเคล้าเรื่องตลก ต่างกันตรงที่ว่าเนื้อหา
ของเราที่บรรยาย คุณภาพคับแก้ว ประจุไว้ด้วยสาระวิชาการ นั่นต่างหาก พอบรรยายเสร็จ เขาก็เชิญเรานั่งร่วมโต๊ะ
ทีนี้ละท่านผู้ไฮโซทั้งหลาย จะพากันมาถามเป็นส่วนตัวว่าวิตามินตัวนั้น ตัวนี้กินได้ ไม่กินดี เป็นต้น หลายๆท่านจะ
พกกระเป๋ามา 2 ใบ ใบหนึ่งเป็นกระเป๋าสตางค์ อีกใบหนึ่งเป็นกระเป๋าวิตามิน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมพูดอย่างตรงไป
ตรงมาว่า "จะกินวิตามินเหล่านี้สักแค่ไหน แต่ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร เล่นกินโต๊ะจีน กินอาหารฝรั่ง
อย่างที่เรากินกันมื้อนี้ กินไปอีกกี่ขวด ก็จะป่วยง่าย ตายเร็วอยู่ดี" ก็มีคนพยักหน้า เชื่อผมอยู่หลายคน แต่ผู้จัดคงรู้สึก
ถึงความตรงไปตรงมาของผม จากนั้นก็เคยไม่กล้าเชิญผมไปบรรยายให้ไฮโซไฮซ้อวงนั้นอีกเลย ครับ ในแนวคิด
ของบัลวี เราถือว่า คนเราจะหายป่วยเจ็บ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเป็นปัจจัยอันดับหนึ่ง แต่เมื่อป่วยเจ็บเสีย
เต็มประดา อย่างใครที่เป็นภูมิแพ้ เป็นมะเร็ง การเอาอาหารที่เขาสกัดมาเป็นเม็ดเข้มข้นมากินเข้าไป และถ้าไม่ป่วย
ไม่เจ็บ ก็ไม่จำเป็นต้องกินวิตามิน อย่าทำให้ปัสสาวะของท่านแพงขึ้นด้วยวิตามินที่เกินความจำเป็น แค่กินอาหาร
ให้ถูกส่วน กินผักผลไม้เยอะๆ ก็ได้รับวิตามินเพียงพอแล้วละครับ
กับดักสุขภาพ ประการที่ 7 - กินสมุนไพร คิดว่าปลอดภัยเสมอไป
ยุคนี้เป็นยุคของการคืนสู่ธรรมชาติ และเมื่อพูดถึงธรรมชาติใครๆก็มักจะนึกถึงสมุนไพร มีผู้รักสุขภาพ
จำนวนไม่น้อยที่หนีจากการกินยาแผนปัจจุบัน แล้วหันไปกินยาสมุนไพรโดยคิดอย่างเถรตรงว่า ขึ้นชื่อว่าสมุนไพร
แล้ว ย่อมไม่มีผลร้ายแต่ประการใด นั่นนับเป็นความเข้าใจผิดประการหนึ่ง แท้ที่จริงขึ้นชื่อว่ายาสมุนไพรก็หมายถึง
สิ่งที่กินเพื่อบำบัดรักษาโรค แต่นำมาจากพืชและสัตว์ ถ้ามาจากสัตว์ก็เรียกว่า สัตว์สมุนไพร ถ้ามาจากพืชก็เรียกว่า
พืชสมุนไพร ในสัตว์และพืชย่อมมีสารอินทรีย์จำนวนหนึ่งซึ่งอาจจะออกฤทธิ์ช่วยบำบัดรักษาโรคให้กับคนเรา
สารอินทรีย์เหล่านี้ย่อมต้องการปริมาณที่พอเหมาะ ไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไปในการออกฤทธิ์รักษาโรค ทีนี้เมื่อ
จะใช้สมุนไพรในการรักษาโรค จึงต้องศึกษาวิธีการใช้ และปริมาณการใช้ให้ถ่องแท้เสียก่อน ในอดีตที่ผ่านมา เคย
มีกรณีใหญ่ๆที่ใช้สมุนไพรรักษาโรคอย่างไม่ถูกวิธี จนถึงขั้นเกิดอันตรายร้ายแรงกับผู้ใช้ เช่นการใช้ผลมะเกลือคั้น
น้ำกะทิเพื่อถ่ายพยาธิ ถ้าทำอย่างผิดวิธีก็ถึงขั้นทำให้เด็กที่กินถึงกับตาบอดได้ อีกกรณีหนึ่งคือ การใช้ใบขี้เหล็ก
รักษาอาการนอนไม่หลับ แกงขี้เหล็กที่คนไทยรู้จักกันดี สามารถกินกันได้อย่างสนิทใจ และมีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ
ช่วยไม่ให้ท้องผูก และนอนหลับสบายอีกด้วย ต่อมามีการค้นพบว่าใบขี้เหล็กยังมีสารยาซึ่งออกฤทธิ์ช่วยให้นอน
หลับ จึงมีความพยายามที่จะทำใบขี้เหล็กให้เป็นยาสมุนไพรสำเร็จรูปที่ใช้ง่ายเป็นชนิดเม็ด และกระบวนการผลิตก็
กระทำกันอย่างง่ายๆโดยใช้ใบขี้เหล็กตากแห้ง บดเป็นผงแล้วทำเป็นเม็ดขึ้นมาเลย ซึ่งแม้แต่องค์กรรัฐวิสาหกิจทาง
ด้านเภสัชกรรมก็ยังเป็นผู้นำหน้าในการผลิตขี้เหล็กเม็ดขึ้นมาวางจำหน่ายในท้องตลาด อย่างไรก็ดี เมื่อขี้เหล็ก
แคปซูลเหล่านี้ เข้าถึงผู้บริโภคอยู่พักใหญ่ ก็เริ่มมีข้อสังเกตจากแพทย์ระบบทางเดินอาหารหลายท่านว่า เริ่มพบผู้
ป่วยด้วยโรคตับอักเสบที่ไม่พบสาเหตุอื่นนอกจากประวัติที่ว่า ได้กินขี้เหล็กแคปซูลมาพักหนึ่ง หลังจากได้ติดตาม
ค้นคว้ากันอยู่พักหนึ่ง ก็มีผลยืนยันออกมาว่า ผู้คนที่มีเอนไซม์ตับเพิ่มขึ้นสูงเหล่านั้นต้องพิษจากสารบางอย่างในใบ
ขี้เหล็กนั่นเอง เป็นผลให้ต้องมีการประกาศให้เลิกใช้ยาเม็ดขี้เหล็กไปทั่วประเทศ อย่างไรก็ดี คำถามมีว่า เหตุใดคน
โบราณจึงกินแกงขี้เหล็กโดยไม่ปรากฏอันตรายขึ้น เหตุผลน่าจะอยู่ที่ว่า บรรพบุรุษของเรากินขี้เหล็กโดยเอามาแกง
ความร้อนได้ทำลายสารพิษบางอย่างในขี้เหล็กไปแล้ว จึงปลอดภัยในการกิน แต่เมื่อนำใบขี้เหล็กผงมาทำเป็นเม็ด
ไม่ได้ผ่านกระบวนการทำความร้อน สารพิษจึงยังคงอยู่ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การกินอยู่อย่างบรรพบุรุษ ได้แฝงไว้ซึ่ง
ภูมิปัญญาในการเลือกกินเลือกอยู่ในปลอดภัยไร้โรค แต่เมื่อคนสมัยใหม่คิดจะสุขภาพดีทางลัด โดยลัดภูมิปัญญา
ของท่านด้วยกรรมวิธีสมัยใหม่ อันตรายก็อาจเกิดขึ้นได้ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
กับดักสุขภาพ ประการที่ 8 - ไปฟิตเนส แต่เสียเงิน เสียสุขภาพ
สมัยหนึ่งกระทรวงสาธารณสุขนึกสนุกขึ้นมา จะพาคนไทยเต้นแอโรบิกส์ให้ได้จำนวนมากๆเพื่อลงกินเนส
บุ๊คก็แห่กันไปเต้นกันย็อกแย็กอยู่วันเดียว เพื่อให้ได้ชื่อว่าลงบันทึกที่สุดในโลกเล่มนั้น งานนั้นเล่นเอาท่านอาจารย์
เสม พริ้งพวงแก้ว สร้างความใจหายใจคว่ำให้แก่ลูกๆทั่วประเทศ ด้วยห่วงว่าท่านจะเกิดอาการไม่สบายขึ้นมา
อย่างกระทันหัน โชคดีว่าไม่เป็นอะไร แต่เบื้องลึกของงานดังกล่าวเสื้อเหลืองถูกแจกจ่ายไปโดยกะเกณฑ์กันให้ทุก
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกันไปเต้นกันให้มากๆ ทั้งๆที่คนเต้นจำนวนไม่น้อย เกิดมาในชีวิตก็ไม่เคยออกกำลัง
กายเลย แต่ไปเพราะใจที่ถูกกะเกณฑ์ และไปเพราะมีเสื้อเหลืองบังคับอยู่ มาในวันนี้เสื้อสีเหลืองถูกเปลี่ยนมือ
เปลี่ยนสถานที่สวมไปอยู่แถวสวนลุมพินีเสียแล้ว นั่นแสดงถึงความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่ง แต่เหนือสิ่งอื่นใด
พฤติกรรมเต้นแอโรบิกหมู่ สะท้อนถึงความเห่อตามสมัยนิยมไปอย่างนั้นเอง คนอีกจำนวนหนึ่ง เข้าฟิตเนสอย่าง
ไม่รู้จักจุดมุ่งหมายของฟิตเนสให้ดีพอ คิดแต่จะไปวิ่งลดน้ำหนัก บางทีอาจเสียเงินแล้วอาจเสียสุขภาพก็ได้ ก่อนอื่น
คำว่าฟิตเนสมีความหมายกว้างไกลกว่าการวิ่งสายพานหรือเล่นลูกน้ำหนัก เพราะฟิตเนสหมายถึงความแข็งแรง
ของร่างกาย ซึ่ง Garry Null และ Martin Feldman ได้ให้คำนิยามไว้ว่า Fitness ในโลกยุคปัจจุบัน
ประกอบด้วย 3 ประการคือ 1.Cardio-vascular Fitness ความแข็งแรงของหัวใจหลอดเลือด
2.Immunity Fitness ความแข็งแรงของภูมิต้านทาน 3.Anti-oxidant Fitness ความแข็งแรงของ
การล้างพิษอนุมูลอิสระ ความแข็งแรงทั้ง 3 ประการจะเกิดขึ้นได้ ต้องประกอบด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม
ออกกำลังกายแอโรบิกส์ที่ 60% Maximum heart rate ในระดับดังกล่าวจะได้ทั้งการฝึกฝนหัวใจหลอด
เลือด เข้าสู่ภาวะแอโรบิกส์ ขณะเดียวกันอนุมูลอิสระก็เกิดขึ้นไม่มากไม่น้อย โดยอนุมูลอิสระจำนวนพอเหมาะจะ
กระตุ้นภูมิต้านทานให้แข็งแรงพอดิบพอดี ถ้าออกกำลังมากไปกว่านั้น อนุมูลอิสระจะเกิดขึ้นล้นเกิน ทำให้ภูมิต้าน
ทานลดต่ำ และเป็นเหตุให้ร่างกายสึกหรอเพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากออกกำลังกายแล้ว ผู้ออกกำลังกายยังต้องรู้จักการ
กินอาหารที่เหมาะสม กินผักผลไม้ให้มากเพื่อลดอนุมูลอิสระ ถ้ากินได้มากเพียงพอ คือ 5 ส่วนบริโภคต่อวัน ก็จะได้
สารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอโดยไม่ต้องกินวิตามินชนิดเม็ดแต่ประการใด การออกกำลังกายยังต้องกระทำทั้งทาง
ร่างกาย และทางจิตด้วย การออกกำลังทางจิตทำได้โดยฝึกลมหายใจ ฝึกลมหายใจให้ยาวจนถึงระดับ 6 ครั้ง/นาที จะ
นำจิตเข้าสู่ภาวะสงบนิ่งหรือสมาธิ การเข้าฟิตเนสนั้นดีอยู่หรอก แต่ควรสนใจใช้อย่างมีคุณภาพ ประการต่างๆดัง
นี้: 1.ออกกำลังกายตามความสามารถของตน ไม่ใช่เร่งตัวเองไปตามแรงเชียร์ของพนักงาน ปัจจุบันฟิตเนสส่วน
หนึ่งจ้างพนักงานโดยจ่ายตามเปอร์เซ็นต์ที่พนักงานคนนั้นเรียกได้จากลูกค้า จึงเกิดการ "เชียร์แขก" กันสุดขั้วไป
ข้างหนึ่ง หลายคนกล้ามเนื้อฉีก เอ็นอักเสบ แล้วกลายเป็นจุดอ่อนไม่สามารถออกกำลังกายไปตลอดชีวิต2.ฟิตเนสมิ
ได้มีไว้ลดน้ำหนักสถานเดียว ต่อให้วิ่งคนลิ้นห้อย อาจเผาพลังงานไปเพียง 120-150 กิโลแคลอรีด้วยเวลาประมาณ
30 นาที ซึ่งเท่ากับข้าวต้มหมูชามเดียว ใครที่กินราดหน้าก็ต้องวิ่งถึง 45-60 นาทีโดยประมาณ วิ่งสายพานอย่างเดียว
จึงไม่ใช่สรณะของการลดน้ำหนัก ต้องปฏิบัติอย่างองค์รวม และผู้ประกอบการฟิตเนสก็ควรแสวงหาความรู้และ
แนวทางปฏิบัติอย่างองค์รวมเพื่อลูกค้าของตน 3.อุตส่าห์เสียเงินสมัครฟิตเนสแล้ว ก็ควรใช้อย่างสม่ำเสมอ กว่าร้อย
ละ 80 ของสมาชิกฟิตเนส มักเห่อประเดี๋ยวประด๋าว ใช้เพียงไม่กี่ครั้งก็ทิ้งเงินไป นี่คือบริโภคนิยมอีกแบบหนึ่ง ที่
ไม่น่านิยม เสียทั้งเงินแถมไม่ได้สุขภาพอะไรกลับมา นอกจากบัตรหนึ่งใบที่ได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกฟิตเนส
กับดักสุขภาพ ประการที่ 9 - สวนกาแฟ แก้ได้ทุกโรค
คนไทยเห่ออะไรกันง่ายๆ โดยทำตามกันเป็นกระแส จึงมัก
จะสุดขั้วไปทางใดทางหนึ่ง เรื่องการสวนกาแฟก็เช่นเดียวกัน เกิดเสียงร่ำลือกันว่า สวนกาแฟทำให้ผอมจากคำให้
การของดารานางแบบคนหนึ่ง จากนั้นกระแสสวนกาแฟก็เบ่งบาน แทนที่จะเป็นเรื่องดี กลับทำให้การสวนกาแฟ
กลายเป็นเรื่องตลกร้ายทางสุขภาพมาตลอดปี คือ สวนกาแฟผิดวัตถุประสงค์ เข้าใจว่าสวนเพื่อลดความอ้วน สวน
เพื่อแก้ท้องผูก บางคนใช้กาแฟเกินพิกัด สวนแล้วตาสว่างไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน บ้างก็สวนพร่ำเพรื่อจนกลาย
เป็นการเสพติดการสวนกาแฟ แถมเมื่อเกิดอาการมือสั่น ใจสั่นหลังสวนกาแฟ ยังไปร่ำลือผิดๆว่า เป็นเพราะกาแฟ
กำลังช่วยให้เกิดการ ดีท็อกซ์ อยู่ หารู้ไม่ว่านั่นคือ อาการต้องพิษกาแฟ บางคนสวนแล้วสวนอีกวันละ 2-3 ครั้ง ก็
กลับสนับสนุนกันไปใหญ่ แท้ที่จริงการที่คนเหล่านั้นต้องสวนบ่อยมาก เพราะเกิดอาการ เสี้ยนยา เพราะเสพติด
กาแฟทางก้นนั่นเอง แท้ที่จริง การสวนกาแฟเป็นเทคนิคดีๆของการแพทย์แผนธรรมชาติประการหนึ่งที่เอื้ออำนวย
แก่กระบวนการล้างพิษจากร่างกาย โดยอาศัยคาเฟอีนที่ดูดซึมจากลำไส้ใหญ่ผ่านเข้าสู่ตับ ไปกระตุ้นให้ตับขับพิษ
ได้ดีขึ้น แต่ต้องรู้ว่า การสวนกาแฟไม่ใช่ยาครอบจักรวาลที่จะบำบัดสารพัดโรค และยิ่งไม่ใช่กรรมวิธีเพื่อการลด
น้ำหนัก หรือแม้กระทั่งถือเป็นสรณะในการรักษาอาการท้องผูก ข้อบ่งชี้ของการสวนกาแฟ - ใช้คู่กับการอดเพื่อ
สุขภาพ ช่วยล้างพิษจากร่างกายให้ดีขึ้น - สำหรับคนที่ถูกพิษมาเฉียบพลัน เช่น ผงชูรส ควันรถยนต์ ควันบุหรี่ -
รักษาภูมิแพ้ ไมเกรน ภูมิเพี้ยน เช่น SLE รูมาตอยด์ หอบหืด - อาการที่แสดงถึงภาวะสะสมสารพิษในร่างกาย - ผู้
ป่วยมะเร็ง เพื่อลดสารก่อไข้ที่ก้อนมะเร็งซึมซ่านออกมา ช่วยลดผลข้างเคียงของเคมีและรังสีบำบัด สวนกาแฟผิด ...
คิดไปอีกนาน อันตรายของการสวนกาแฟไม่ถูกวิธีคือ - ติดเชื้อ จากการใช้อุปกรณ์ประเภทถุงพลาสติกที่อมคราบ
ความชื้นอยู่ภายใน - ต้องพิษกาแฟ เพราะใช้กาแฟมากเกินไป ใช้ถึงครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ พิษเฉียบพลันทำให้ใจสั่น
พิษระยะยาวทำให้เสพติดกาแฟ และอาจทำให้ตับทำงานหนักจนเกินขอบเขต - เสียเวลาต้มกาแฟ - อันตรายจากน้ำ
ร้อนลวกลำไส้ เนื่องจากการใช้กาแฟชนิดต้ม และเนื่องจากการใช้ถุงสวน ถุงที่เป็นพลาสติกเป็นฉนวนกั้นความ
ร้อน ทำให้เมื่อสัมผัสภายนอกแล้ว ไม่รู้อุณหภูมิที่แท้จริงของน้ำในถุง คนที่ถูกน้ำร้อนลวกลำไส้จะมีอาการต่อไปนี้
คือ - ปวดมวนท้อง - ปวดถ่วงอยากถ่าย - ถ่ายเป็นมูก บางคนถ่ายหลายๆครั้งติดๆกัน - การสวนกาแฟในคนที่ร่าง
กายมีสารต้านอนุมูลอิสระไม่เพียงพอ เช่นวัยรุ่นที่กินแต่อาหารขยะ แล้วสวนกาแฟตามแฟชั่น จะเกิดอาการคั่งพิษ
ในตับ เกิดอาการเปลี้ยเพลีย มึนหัว การสวนกาแฟจึงพึงสงวนไว้ใช้ในหมู่ผู้รักสุขภาพเท่านั้น วัยรุ่นกินแต่ Junk
food จึงไม่ควรมาสวนกาแฟให้เสียสถาบัน เพื่อป้องกันปัญหาคั่งพิษในตับ ก่อนสวนจึงควรกินขมิ้นชัน 5 เม็ด
ลูกกลอน (หรือ 3 แคปซูล) ร่วมกับโสม 1 เม็ด ใครบ้างไม่ควรสวนกาแฟ - เด็กวัยเจริญเติบโต - หญิงมีครรภ์ - ผู้
แพ้กาแฟ จะเกิดอาการปวดมวนท้อง - ผู้ที่ความดันเลือดสูงวิกฤต และยังควบคุมไม่ได้ เช่นสูงเกิน 160/100 มม.
ปรอท - ผู้ที่เพิ่งผ่าตัดลำไส้มายังไม่ถึง 1 เดือน ควรรอให้รอยผ่าตัดลำไส้ได้สมานคืนดีๆเสียก่อน - ผู้ที่ถูกฉายรังสี
บริเวณท้องน้อย เยื่อบุลำไส้อาจได้รับผลกระทบทำให้มีความระคายเคืองมากอยู่แล้ว อุปกรณ์การสวน ...ข้อพึงสัง
วรณ์ - ชุดสวนแบบถุงพลาสติก อาจมีอันตรายจากความชื้นที่หมักหมม ทำให้เกิดเชื้อรา - ชุดสวนแบบเป็นกระเป๋า
น้ำร้อนดัดแปลง อาจมีสารโลหะหนักหลุดออกมาจากเนื้อยางเข้าสู่ลำไส้ - ชุดสวนที่ทำจากขวดน้ำพลาสติกใสๆ
(ขวด PET) เคยมีข่าวส่งกันทางอินเตอร์เนต พบว่าเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งใช้ขวด PET กรอกน้ำดื่มเพื่อใช้ซ้ำๆ ใน
ภายหลังเด็กคนนี้เสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ การใช้ขวด PET จึงมีข้อพึงสังวรณ์ - ชุดสวนมาตรฐานแบบ
สเตนเลส ล้างทำความสะอาดให้แห้งได้ ใช้ได้ทนทานตลอดชีพ - ชุดสวนมาตรฐานแบบพลาสติก ล้างทำความ
สะอาดให้แห้งได้ เบาสบาย พกสะดวก โปร่งใสสามารถกะปริมาณน้ำกาแฟได้ กาแฟใช้สวน...อย่างไหนเหมาะ
หรือไม่เหมาะ - กาแฟบดธรรมชาติซองละ 2 ช้อนโต๊ะ ต้องต้มเสียเวลา และมัก Overdose เพราะปกติคนเรา
ชงกาแฟเพียงครั้งละ 1 ช้อนชา การใช้ครั้งละซองคือ 1 ช้อนโต๊ะเสี่ยงที่จะเกิดการต้องพิษกาแฟ - กาแฟผงธรรมดา
ซองละ 2 ช้อนโต๊ะ ใช้แช่น้ำร้อน ยิ่งคุมโด๊สได้ลำบาก - ปัจจุบันมี กาแฟสวน ชนิดใหม่ สำเร็จรูปชนิดซองละ 2.5
กรัม ใช้สะดวก ใช้น้ำอุ่นอาบน้ำธรรมดาละลายน้ำใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องต้ม สวนกาแฟต้องต่อย Vitamin B
ใส่ลงไปหรือไม่ คนเราจะทำอะไรก็ต้องหาความรู้และใช้อย่างสมเหตุผล ใครที่ทำเช่นนั้นเคยถามเจ้าของตำรับ
หรือไม่ว่า ต่อยลงไปเพื่ออะไร ถ้าจะบอกว่าเพื่อให้ดูดซึมไปให้ตับได้ใช้ ปัญหามีอยู่ว่าวิตามินบีที่ทางเภสัชกรรมเขา
ทำไว้สำหรับฉีด เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่ายาหลอดนั้นจะมีอัตราการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายทางลำไส้ใหญ่ได้ขนาด
ไหน และเมื่อมันถูกเจือจางอยู่ในน้ำทั้ง 1 ลิตร จะมีโอกาสสัมผัสลำไส้เพื่อดูดซึมได้เพียงใด เพราะบางคนกลั้นไว้
ได้ครู่เดียวก็ต้องลุกขึ้นถ่ายทิ้งเสียแล้ว ก็เหมือนเอาวิตามินบีมากลั้วคอแล้วบ้วนทิ้ง จะมีประโยชน์อะไร ถ้าต้องการ
วิตามินบี ก็ใช้ชนิดเม็ด กินเข้าไปทางปาก ทางเภสัชกรรมทำไว้พร้อมสำหรับการดูดซึมทางกระเพาะอยู่แล้ว แถม
ถูกสตางค์กว่ากันมากมาย การต่อยวิตามินบีใส่น้ำกาแฟเพื่อสวน ก็เป็นเพียงการ ทำเท่ ประการหนึ่งเท่านั้น
กับดักสุขภาพประการที่ 10 - กินอาหาร 5 หมู่ อาจป่วยง่าย ตายเร็ว
คำว่า "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่" ดู เหมือนจะกลายเป็นป้ายโฆษณา ที่ใครต่อใครซึ่งสอนคนให้สุขภาพดีจะ
ต้องแขวนไว้ แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว เนื้อหา
ของคำว่ากินอาหาร 5 หมู่ เกือบจะไม่ต่างไปกับ "เชิญกินไปตามสบาย ปล่อยให้สุขภาพเป็นไปตามยถากรรม" มีใคร
บ้างในสมัยนี้ไม่กินอาหาร 5 หมู่? ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ว่า กินอย่างไหนในสัดส่วนเท่าไหร่ต่างหากเล่า ความเป็น
มาของการชูคำขวัญ "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่" มีประวัติความเป็นมาที่เข้าใจได้ กล่าวคือ สมัยที่ประเทศไทยยังด้อย
พัฒนา คนบ้านนอกยังมีอาหารไม่พอกิน แถมมีความเชื่อเรื่องห้ามกินของแสลง เช่น หญิงหลังคลอดให้กินแต่ข้าว
กับเกลือ จึงบังเกิดผลให้คนไทยขาดอาหาร เด็กเล็กมีอาการพุงโรก้นปอด บ้างก็ตัวบวม ขาดทั้งแคลอรีทั้งโปรตีน
บ้างขาดวิตามิน ป่วยเป็นโรคเหน็บชา ตาบอดกลางคืน ลักปิดลักเปิด ด้วยเหตุฉะนี้จึงมีความจำเป็นในสมัยนั้นที่จะ
ต้องระดมให้คนไทยกินโปรตีน และอาหารอุดมวิตามินเพิ่มขึ้น ครั้นจะเน้นแต่สารอาหารอย่างหนึ่งอย่างใดเพียง
ชนิดเดียวย่อมไม่ถูกต้อง จึงเกิดเป็นคำขวัญให้คนไทย "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่" นั่นเป็นคำขวัญที่สอดคล้องกับยุค
สมัยที่คนไทยส่วนข้างมากป่วยเป็นโรคขาดอาหาร ทีนี้พอสังคมเปลี่ยนไป การพัฒนาประเทศทำให้เราผลิตอาหาร
จนส่งออกไปเลี้ยงคนทั่วโลก เรากลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ การค้าพาณิชย์เจริญขึ้น เกิดศูนย์การค้า เกิด
อาหารสำเร็จรูป เกิด food center แล้วก็เกิดค่านิยมแบบบริโภคนิยม กินกันไม่อั้น เวลาพบปะสังสรรค์ก็เจอ
กันที่ร้านอาหาร การเจรจาธุรกิจบางทีก็อาศัยโต๊ะอาหารเป็นที่เจรจา อาการป่วยเจ็บด้วยบริโภคนิยมจึงตามมา ได้แก่
โรคอ้วน ไขมันเลือดสูง ความดันเลือดสูง โรคหัวใจ ภูมิแพ้ แม้กระทั่งมะเร็ง และโรคสำคัญๆกลุ่มนี้กลายเป็น
สาเหตุการตายอันดับต้นๆของประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย การยังคงมุ่งชูแต่คำขวัญ "กินอาหาร
ให้ครบ 5 หมู่" จึงไม่น่าจะสอดคล้องกับปัญหาสุขภาพแห่งยุคสมัยอีกต่อไป เพราะนักธุรกิจกินสเต็กเนื้อสัน นาย
ห้างกินโต๊ะจีน วัยรุ่นกินฟ๊าสต์ฟู้ด ชาวหอกินบะหมี่ซอง ต่างก็คิดว่าตนเองกำลังกินอาหาร 5 หมู่กันทั้งนั้น แต่แท้ที่
จริงแล้ว พฤติกรรมดังกล่าวล้วนนำพาพวกเขาไปสู่ภาวะ "ป่วยง่าย ตายเร็ว" เหตุการณ์เช่นนี้มิได้เกิดขึ้นเฉพาะใน
ประเทศไทย แต่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาก่อนหน้านี้ประมาณ 15-20 ปี และนั่นเป็นสาเหตุให้ชาวอเมริกันตื่นเต้น
กันมากที่มีชาวตะวันออกบางคน เข้าไปในอเมริกาบอกให้กินอาหารแนวอื่น ที่หักหัวเลี้ยวความเชื่อของชาวตะวัน
ตก แต่กลับทำให้สุขภาพดี เช่นแล้วบอกให้กินสาหร่าย กินปลา กินเต้าหู้ นั่นคือความโด่งดังของอาหารแม็คโครไบ
โอติกส์ โดยมิชิโอ คูชิ ชาวอินเดียอีกบางคนเช่นมหาริชชี มเหสโยคะได้ไปโน้มนำอเมริกันให้กินมังสวิรัติ ฝึกโยคะ
นั่งสมาธิ ก็เป็นที่ต้อนรับ จนกระทั่งเกิดผู้นำสุขภาพคนอื่นๆเช่น นอร์แมน วอล์กเกอร์ แอน วิคมอร์ โรเบิร์ต เกรย์
เลสลี เคนตัน ซึ่งเสนอกินเพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารกระทั่งการอดเพื่อสุขภาพ เพื่อล้างพิษจากร่างกาย แพทย์อีก
หลายคนในอเมริกา เช่น นพ.ดีน ออร์นิช นพ.ดีภักดิ์ ชูพระ นพ.แอนดรู ไวล์ เสนอหนทางสุขภาพอันหลากหลาย
ซึ่งแตกความคิดไปจากการกินอาหาร 5 หมู่ แต่กลับพิสูจน์ว่ามิเพียงป้องกันโรค แต่รักษาโรคได้ด้วยซ้ำ ในที่สุด
สถาบันสุขภาพแห่งชาติอเมริกัน หรือกระทรวงสาธารณสุขของเขาก็ทนไม่ไหว จึงลุกขึ้นมาเสนอหลักชั่งตวงวัด
ปริมาณอาหารแต่ละหมู่เพื่อสุขภาพ อย่างแคเธอรีน โวเตกีเสนอให้กินผักสดผลไม้ให้ได้ 5 ส่วนบริโภคต่อวัน เพื่อ
จะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอเพื่อป้องกันโรคเสื่อม ความคิดใหม่ๆเหล่านี้ทำให้คำขวัญที่ว่า "กินอาหารให้
ครบ 5 หมู่ เพื่อสุขภาพดี" เสื่อมความหมายลง ท่านผู้อ่านลองตรองดูง่ายๆก็ได้ว่า ตัวเราเองอาจกินอาหารครบ 5 หมู่
แต่กินไปกินมา ทำไมเกิดโรคไขมันเลือดสูงขึ้นได้ คุณพ่อของเรา กินอาหารก็ครบ 5 หมู่ แต่กินไปกินมาทำไมกลาย
เป็นโรคหัวใจได้ล่ะ คุณแม่ของเรากินอาหารครบ 5 หมู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็กลายเป็นเบาหวานไปซะแล้วส่วน
คุณลุงข้างบ้าน ก็ท่องจำการจำแนกอาหาร 5 หมู่จนขึ้นใจ แต่กินไปกินมา ไหวกลายเป็นมะเร็งไปซะแล้ว แสดงว่า
"การกินอาหารครบ 5 หมู่" ไม่ได้ช่วยให้คนเราสุขภาพดีอย่างแท้จริง ดร.เจฟฟรี บรานด์ ผู้นำสุขภาพอีกคนหนึ่งใน
สหรัฐอเมริกาเคยมาบรรยายที่เมืองไทยเมื่อ7 ปีก่อน เขาบรรยายท่ามกลางแพทย์พยาบาลทั้งหลายว่า "ขอโทษทีเถอะ
ครับ ถ้าผมจำต้องกล่าวว่า คำว่ากินอาหาร ครบ 5 หมู่นั้นไม่เป็นที่พูดถึงกันอีกต่อไปแล้วในสหรัฐอเมริกา แต่ทุก
วันนี้ชาวอเมริกันกำลังพูดถึง functional food ต่างหาก" Functional food หมายถึงสิ่งที่กินเข้าไป
แล้ว เกิดผลมีปฏิสัมพันธ์กับร่างกาย ทำให้เกิดการบำบัดโรคอาหาร functional food เป็นอาหารที่อุดมด้วย
ผัก ผลไม้ ซึ่งมีแอนติออกซิแดนต์ในความเข้มข้นสูง แถมพืชผักอีกหลายตัวยังมีสารกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า phyto-
nutrient ซึ่งกินเข้าไปแล้ว เข้าไปออกฤทธิ์ 3 ประการกับร่างกาย 1.เป็น immuno stimulator กระตุ้น
ภูมิต้านทานของร่างกาย 2.เป็น cancer blocker ยับยั้งการออกฤทธิ์ของสารก่อมะเร็ง 3.เป็น anti
mutagenic agent ป้องกันไม่ให้เซลล์ดีๆกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็ง สำหรับประสบการณ์ของศูนย์
ธรรมชาติบำบัดบัลวี เราค้นคว้าเรื่องแนวทางการกินอาหารสุขภาพมาเกือบ 30 ปีแล้วพบว่า ยุคสมัยนี้การกินอาหาร
เพื่อสุขภาพต้องกินให้สอดคล้องกับสภาพสุขภาพเฉพาะของแต่ละคน รวมเรียกว่า "อาหารธรรมชาติบำบัด"
จำแนกได้ดังนี้คือ: 1.สำหรับบุคคลทั่วไป การกินอยู่อย่างไทย ได้แก่กินข้าวกล้อง กินผัก กินปลา กินน้ำพริก ช่วย
สร้างเสริมสุขภาพได้เป็นอย่างดี 2.สำหรับคนอ้วน ไขมันเลือดสูง นอกจากกินอยู่อย่างไทยแล้ว ให้รู้จักการอดเพื่อ
สุขภาพเป็นระยะๆ เช่น อดล้างพิษ 10 วันทุก 6 เดือน สลับกับการอดล้างพิษ 1 วัน ทุก 1 หรือ 2 สัปดาห์ ช่วยลด
ความอ้วน ลดไขมันเลือดได้ 3.สำหรับคนเป็นเบาหวาน ใช้หลักกินเนื้อกินผัก งดข้าว งดผลไม้ ด้วยเวลา 3 เดือน
เพื่อให้ตับอ่อนได้พัก แล้วค่อยปรับเพิ่มอาหารคาร์โบไฮเดรต ก็ช่วยบำบัดเบาหวานได้ 4.สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ใช้
อาหารต้านมะเร็ง กินข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ งดเนื้อสัตว์ ไขมัน 6 เดือน ถึง 2 ปี เป็นปัจจัยหนึ่งในการรักษามะเร็ง โดย
ตวงปริมาณโปรตีนด้วยเต้าหู้หรือไข่ขาวเป็นรายๆไป เหล่านี้ต้องปรับเปลี่ยนไม่ให้ตายตัว ภายใต้การดูแลแนะนำ
ของแพทย์ธรรมชาติบำบัด ก็ช่วยรักษาแต่ละโรคได