รายละเอียด:
| ฮิต: 4929
.................................................................................................................!!!!!!!~
ไลฟ์สไตล์การทำงานของคนในสังคมปัจจุบัน ให้ลองสังเกตดูว่าวันหนึ่งๆ คุณลุกขึ้นมาเปลี่ยนท่าทางกันสักกี่ครั้งเชียว เช่น
ผู้บริหารก็มักจะนั่งเซ็นงาน,นั่งประชุม หนุ่มสาวออฟฟิสก็นั่งพิมพ์งานกันวันหนึ่งๆไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง ส่วนฝ่ายคุณแม่บ้านก็ใช้เวลานั่ง
อยู่ในรถเพื่อรับ-ส่งลูกไม่น้อยกว่า 4-5 ชั่วโมงต่อวันอย่างแน่นอน
แต่จะเคยนึกตระหนักกันบ้างมั้ยว่า...วันหนึ่งร่างกายของคุณอาจเริ่มรับไม่ไหวแล้วก็เป็นได้
แต่จะใช้มากไปหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่า คุณอยู่ในท่าทางแบบไหนนั่นเอง อาการหนึ่งที่จะเริ่มส่งสัญญาณความผิดปกติของระบบโครง
สร้างกระดูกกล้ามเนื้อ นั่นคือ อาการปวดเมื่อย
เพ็ญพิชชากร แสนคำ นักกายภาพบำบัด จากสถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย อริยะ (ARIYA WELLNESS CENTER) กล่าวว่า
ในภาวะปกติทุกครั้งที่ร่างกายมีการเคลื่อนไหวหรือการทำงาน กล้ามเนื้อจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว และกำหนดทิศทาง
ต่างๆตามความต้องการของจิตใจที่จะสั่งให้ทำ และในการหดตัวแต่ละครั้งกล้ามเนื้อจะต้องดึงเอาพลังงานที่สะสมอยู่มาใช้ในการเผา
ผลาญพลังงาน (Metabolism) ซึ่งทุกครั้งที่มีการหดตัวจะมีของเสียเกิดขึ้นคือกรดแล็คติก (Lactic acid) แต่ด้วยในกล้ามเนื้อจะมี
หลอดเลือดอยู่ภายใน และมีการไหลเวียนของเลือดเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ร่างกายถ่ายขับสารเสียออกมา และมีเลือดดีที่มี
ออกซิเจน ไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆได้ รวมถึงเลี้ยงกล้ามเนื้อด้วย แต่ตรงกันข้าม หากเป็นการทำงานที่เกิดขึ้นแบบซ้ำๆ ต่อเนื่องกันเป็น
เวลาหลายชั่วโมง จากนานวันเข้า กล้ามเนื้อจะเริ่มหดตัวอย่างเดียว ไม่มีการคลายตัว พอนานวันเข้าก็เริ่มเป็นพังผืดแข็ง หลอดเลือด
ถูกบีบรัด ทำให้ไม่มีการไหลเวียน เกิดการคั่งค้างของสารเสีย จากแค่อาการปวดเมื่อยเพียงเล็กน้อยก็เริ่มเป็นมากขั้นจนรู้สึกไม่สบาย
ตัว ไม่คล่องตัว ไม่สดชื่น เพลียง่าย ง่วงบ่อย หาวบ่อย หงุดหงิด หายใจไม่อิ่ม หายใจไม่คล่อง จนต้องหายากิน หรือหาที่นวดเพื่อให้
ผ่อนคลาย แต่อาการเหล่านี้จะกลับมาเรื่อยๆ เพราะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด ตรงสาเหตุที่เป็น ฯลฯ
ระบบกล้ามเนื้อเป็นระบบที่เป็นที่อยู่ของหลอดเลือด,น้ำเหลือง(ระบบขับของเสีย),ระบบประสาท หากกล้ามเนื้อไม่ได้อยู่ในภาวะ
ที่ปกติ เช่นหดเกร็ง รั้งอยู่ ไม่ใช่แค่ตรงจุดนั้นจะมีปัญหาเท่านั้น แต่จะเป็นชนวนที่จะลุกลามต่อเนื่อง เนื่องจากกล้ามเนื้อเชื่อมต่อกัน
ตลอดทั้งตัว และกล้ามเนื้อยังเป็นตัวคุมให้กระดูกอยู่ในแนวปกติ หากกล้ามเนื้อมีการรั้ง ดึง ไม่สมดุลกันทำให้โครงสร้างของร่างกาย
บิดเบี้ยวไป ไม่อยู่ในโค้งที่ปกติ จะทำให้กระทบถึงรากประสาท ซึ่งเป็นตัวนำคำสั่งจากสมองไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้การ
ส่งกระแสประสาทส่งไปสู่อวัยวะต่างๆ ได้ไม่เต็มที่ มีผลให้การทำงานของระบบต่างๆ เสื่อมง่ายลง ทำงานได้ไม่เต็มที่ หากรุนแรง
มากก็อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายแรงได้ โดยเฉพาะ อัมพฤกษ์อัมพาต หรืออาจถึงชีวิตได้ โดยที่ตัวคุณเองไม่คาดคิดมาก่อน
ผู้เชี่ยวชาญกล่าว
สำหรับวิธีการป้องกันนั้น นักกายภาพบำบัด แนะนำว่า ควรหลีกเลี่ยงไลฟ์สไตล์ที่ทำเป็นประจำและใช้งานร่างกายเป็นเวลานานๆ
เช่น คนที่นั่งทำงานคอมพิวเตอร์หลายชั่วโมงต่อเนื่องกัน ต้องปรับพฤติกรรมไม่ให้เพลินกับการทำงานมากเกินไป ประมาณครึ่งถึง
หนึ่งชั่วโมง ควรมีการเปลี่ยนอิริยาบทลุกขึ้นยืน เอามือประสานกันเหยียดขึ้นเหนือศีรษะค้างไว้สัก5-10 วินาที เอียงตัวไปซ้าย/ขวา
สัก 2-3 ครั้ง ลุกขึ้นเดินแล้วค่อยกลับมาทำงานใหม่
ส่วนพวกที่ชอบหิ้วกระเป๋าหนักๆ ก็ควรปรับเปลี่ยนท่าทาง ด้วยการใช้ศอกหิ้วกระเป๋าแทนการสะพายที่บ่า และสลับซ้าย/ขวาเพื่อ
ไม่ให้กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักมากเกินไป คนที่ชอบใส่ส้นสูง ควรมีรองเท้าลำลองมาเปลี่ยนใส่เวลาอยู่ในที่ทำงาน แต่ถ้าลอง
เปลี่ยนตัวเองแล้วยังไม่ดีขึ้น ตอนกลางคืนก็อาจใช้แผ่นความร้อนประคบจะช่วยได้มากเพราะความร้อนจะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว
ลดปวดได้ ที่สำคัญไม่แนะนำให้กินยา เนื่องจากไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แต่หากยังคงมีอาการปวดอยู่ จนส่งผลกระทบต่อ
การใช้ชีวิตประจำวันถึงขั้นไปขัดขวางการทำงาน และการใช้ชีวิต ควรต้องหาเวลาไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในระบบกระดูกกล้ามเนื้อ
โดยตรงจะดีที่สุด
สำหรับผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือต้องการคำแนะนำเรื่องสุขภาพร่างกาย โทร.02-677-7166